วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

เงือก (mermaid)



เงือก เป็นอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เชื่อกันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และเดินทางว่ายข้ามข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ ซึ่งเป็นที่มาให้ผู้คนเรียกชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้)’ ซึ่งเป็นคำผสมของภาษาแองโกลและฝรั่งเศส เมื่อว่ายน้ำมาถึงคอร์นวอลล์ เงือกก็จะขยายพันธุ์ไปไกลจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ และเลยไปถึงรอบๆประเทศสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนี้ ยังอาจมีบางครั้งที่เราสามารถพบเห็นเงือกได้ตลอดแนวฝั่งยุโรปและตลอดแนวฝั่งแอตแลนติกของประเทศอังกฤษกับไอร์แลนด์ด้วย ซึ่งเหตุผลที่พบมาจากการที่เงือกชอบอากาศเย็นนั่นเอง

แต่ละประเทศก็มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของนางเงือกในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นนิทานพื้นบ้านของโรมัน จะกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่มีสงครามกรุงทรอย ได้มีเศษไม้ที่แตกมาจากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดวาย และเศษไม้เหล่านั้นก็ได้กลายสภาพมากำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เงือก นั่นเอง ส่วนชาวไอริช ก็มีตำนานเล่าว่า นางเงือก คือ หญิงสาวนอกศาสนาที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดิน ส่วนบางท้องถิ่น ก็เชื่อกันว่า แท้ที่จริงแล้วชาวเงือก ก็คือ บรรดาลูกของกษัตริย์ฟาโรห์ที่จมน้ำตายในทะเลแดงนั่นเอง

ส่วนตำนานของเทพกรีก ได้มีความเชื่อว่า ต้นตระกูลของเงือก คือ ไตรตอน ซึ่งมีบิดาชื่อว่า โพเซดอน ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมีมารดาเป็นพรายน้ำสาวตนหนึ่ง โดยหากกล่าวถึงไตรตอน ผู้คนมักจะนึกถึงไตรตอนที่มีหางเป็นปลา มีหนวดเครายาว และมีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเล ที่พักของไตรตอนอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก ไตรตอนมีอาวุธเป็นตรีศูล(ฉมวกสามง่าม) และคอยเป่าแตรหอยสังข์ เพื่อใช้ควบคุมความสงบให้แก่ท้องทะเล ด้วยเหตุนี้ ไตรตอนจึงมีอีกหนึ่งสมญานามว่า “นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล”

บางตำนานก็เล่าว่า ชาวเงือกรุ่นบุกเบิกแท้จริงแล้ว คือ โอนเนส (Oannes) ผู้เป็นเทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โอนเนสมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นปลา นอกจากนี้ เทพผู้นี้ยังถือเป็นผู้มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วย  โดยโอนเนสมักจะปรากฏกายขึ้นมาจากท้องทะเลในช่วงเวลาเช้าและหายตัวไปในทะเลตอนเวลาค่ำในทุกๆวัน เมื่อเวลาผ่านไป เทพอียา(Ea) ผู้มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันกับโอนเนส ได้ขึ้นมามีบทบาทแทนที่โอนเนส จึงเชื่อถือกันว่า เทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือกนั่นเอง ส่วนเทพเจ้าอาทาร์การ์ติส (Atargartis) ก็ถือเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกัน

สำหรับสาเหตุที่เทพเจ้าหลายองค์ของชาวบาบิโลนมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลานี้ ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในทุกๆวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะขึ้นและจมหายลงไปในทะเลทุกครั้ง ดังนั้น เทพเจ้าที่เขานับถือ จึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบก และในน้ำนั่นเอง

เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เงื่อนงำทั้งหมดยังคงซ่อนอยู่ และถูกสืบทอดต่อกันมาหลายๆปี ซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของเงือก ว่ากันว่ากระจกที่นางเงือกใช้สำหรับส่องนั้นถือเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลกทำให้เกิดมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ตำนานนางเงือกมีความซับซ้อนและพิศดารมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

หลังจากที่คริสตศาสนาได้เริ่มมีขึ้น ตำนานนางเงือกก็ถูกปรับเปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ศาสนาคริสต์เชื่อว่า นางเงือกสามารถมีชีวิตจิตใจและมีวิญญาณได้ หากแต่จะต้องให้คำสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป โดยไม่คิดกลับคืนสู่ใต้ทะเลอีก แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นไปไม่ได้ และสร้างความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสให้แก่เธอเป็นอย่างมาก

หนึ่งในเรื่องราวที่น่าเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับนางเงือก มีเรื่องเล่าอยู่ว่า นางเงือกได้ไปเยี่ยมนักบวชรูปหนึ่งในเกาะไอโอนา (Iona) ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์  สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะที่นางเงือกเดินทางไปอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เธอไป นางเงือกจะขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น ซึ่งนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้สัมฤทธิ์ผลแก่เธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องไม่กลับมาที่ท้องทะเลอีกตลอดไป ซึ่งแม้ว่านางเหงืออยากจะมีชีวิตและจิตใจมากเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะละทิ้งทะเลอันเป็นที่รักของเธอไปได้ สุดท้ายเรื่องราวของเธอก็จบลงอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย นางเหงือได้ออกไปจากเกาะนั้น และน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาของเธอก็ได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทาที่พบบนเกาะไอโอนา

เวลาออกทะเล ชาวประมงอาจจะเคยเห็นนางเงือกอยู่บ่อยๆ ยิ่งในช่วงเวลาที่มีคลื่นลมแรงจัดด้วยแล้ว จะยิ่งสามารถพบเห็นนางเงือกพวกนี้ได้ง่ายมากขึ้น และดูสวยงามเตะตาเป็นอย่างมากเมื่อกลุ่มเงือกโลดแล่นอยู่ในทะเลขณะที่กำลังมีคลื่นถาโถม ร่างกายสีเงินยวงของนางเงือกมองดูระยิบระยับจับตาอยู่เหนือคลื่น อีกทั้งดวงตาสีเขียวยังเปร่งประกายสุกใสในยามเมื่อพวกเงือกไถลตัวขึ้นลงตามลูกคลื่น

แม้ว่าเงือกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล แต่พวกมักก็มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองเช่นกันไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่อยู่บนบก อย่างไรก็ตาม เงือกก็สามารถพูดภาษาคนปกติบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมันได้เช่นกัน ส่วนอุปนิสัยของเงือกนั้น เป็นที่รู้กันว่า นางเงือกชอบออกมาท่องเที่ยวตามชายฝั่ง บางครั้งก็จะออกมานั่งหวีผมที่ยาวสลวยอยู่บนหากทราย หรือนั่งฟังเสียงคลื่น เสียงนกร้องบ้างก็มี

เงือกจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่มีปัญญาที่ฉลาดที่สุด อีกทั้งยังมีความว่องไวเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกมันได้ อาหารของนางเงือก ก็คือ ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นางเงือกไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตกปลาของชาวประมงเลย เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั่นแหละ ที่มักจะเข้าไปรุกรานความสงบสุขของนางเงือกอยู่เสมอ

นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เพราะนางมีความสวยและมีความลึกลับ ทำให้เกิดความน่าค้นหา นางเหงือกที่มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ จะเรียกกันว่า “สตรอเบอรีบลอนด์” อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวหรือเขียวอมฟ้ากลมโต ซึ่งเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลด้วย ส่วนผิวพรรณในส่วนที่คล้ายคนก็มีสีขาวบริสุทธ์ราวกับไข่มุก สัดส่วนองค์เอวของนางเงือกก็ดูสมส่วนพอเหมาะสวยงาม เมื่อนางเงือกลงไปอยู่ในทะเลจึงมองดูเหลือบเป็นสีเงิน

นอกจากนี้ ชาวเงือกยังมีอายุที่ยาวนาน กว่าที่นางเงือกจะโตหรือจะแก่ได้จะใช้เวลาที่ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า ทำให้ยากที่จะสามารถเดาอายุที่แท้จริงของนางเงือกได้ ด้วยเหตุนี้ นางเงือกจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน และมีช่วงเวลาของการเป็นสาวที่ยาวนานนับหลายๆปีเลยทีเดียว ส่วนนายเงือกที่เป็นชายก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นายเงือกจะมีรูปร่างบึกบึน ร่างกายปกคลุมไปด้วยขน และมีผิวสีคล้ำกว่านางเงือกที่เป็นเพศเมีย ส่วนการปรากฏตัวนายเงือกก็ดูอ่อนโยนมากกว่าบุคลิกที่มันแสดงออกมาอย่างมากเลยทีเดียว

ด้วยความที่เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่กลับมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีผลให้เป็นอมตะและสามารถล่วงรู้อนาคตได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และอิจฉาริษยาด้วย

หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือก ก็ถือเป็นเรื่องราวที่แสนซับซ้อนและยากจะเข้าใจ เพราะทั้งมนุษย์และเงือกก็ต่างประทับใจในความงามของร่างกายในแต่ละฝ่าย ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองจึงเกิดขึ้นและเกิดเป็นเรื่องเล่าต่างๆมากมาย แต่ความแตกต่างทางด้านบุคลิกและการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ความสัมพันธ์ในทุกครั้งต้องจบลงด้วยความเศร้า เพราะนางเงือกไม่อาจทนอยู่กับมนุษย์เพศชายได้นาน เธอมักจะมีนิสัยรักเสรี และคิดว่าชีวิตบนบกที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยากสำหรับเธอ อีกทั้ง นางเงือกจะไม่ยอมทำงานบ้านงานเรือน สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ ก็คือ การนั่งส่องกระจก และหวีผม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้ความรักที่ฝ่ายชายเคยมีก็จะจืดจางลงไปเรื่อยๆนั่นเอง นางเงือกจะทนไม่ได้ที่ต้องตกเป็นหัวข้อให้ชาวบ้านรวมหัวกันซุบซิบนินทาเธอ จนในที่สุด ก็ต้องหนีกลับทะเลไปเหมือนเช่นเดิม และกลับไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเงือกเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต

หากนางเงือกและมนุษย์สมสู่กัน เชื้อสายที่ออกมาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วย ทำให้บุคคลผู้นั้นสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ทำกิจกรรมอื่นๆไม่เก่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆต้องทิ้งชีวิตบนฝั่ง และกลับไปรวมกลุ่มกับสังคมเดิมๆในเวลาถัดไป

หากนางเงือกโกรธเพราะถูกขัดขวางหรือดูถูก เธอจะทำการแก้แค้นบุคคลผู้นั้นอย่างแสนโหดร้ายทารุณ  ชาวประมงที่เคยได้นางเงือกเป็นเมียจึงไม่ควรออกทะเลอีกต่อไป เพราะพวกเธอจะถือว่าชีวิตคู่ที่ไปกันไม่รอดนั้น เป็นความผิดของมนุษย์ หลังจากที่เธอจากไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันจับปลาได้อีกต่อไปเลย มากไปกว่านั้น หากพวกเขายังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป ก็อาจจะพบจุดจบในชีวิตโดยการถูกทิ้งให้อยู่กลางทะเลแบบไม่มีวันกลับสู่ชายฝั่งได้อีกเลยก็เป็นได้

แต่ด้วยต้องการประโยชน์จากนางเงือก ชุมชนประมงตามชายฝั่งทะเลจึงต้องจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างตนกับนางเงือกไว้ เพราะรู้ว่านางเงือกเป็นผู้มีอำนาจในการหยั่งรู้ และสามารถทำนายอนาคตให้แก่ชาวประมงได้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ สภาพภูมิประเทศที่มีปลาชุกชุม นางเงือกก็สามารถยั่งรู้ได้ทั้งสิ้น ส่วนค่าจ้างของนางเงือกก็ไม่ได้จ่างกันเป็นเงินมอง แต่เธอจะทำงานเพื่อแลกกับหวีทองคำและกระจกทองคำเท่านั้น

ในบางครั้ง พวกเงือกจะเชื่อมโยงตนเองกับลูกของมนุษย์ โดยการสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี นางเงือกพวกนี้สามารถลงโทษใครก็ได้ที่มารบกวนให้เด็กได้รับความเจ็บไข้หรือไม่สบายในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้าม ก็มีตำนานที่เล่าว่า นางเงือก คือนางฟ้าฝ่ายอธรรมเช่นกัน  เพราะพวกเธอมักจะใช้เสียงอันไพเราะเพราะพริ้งล่อลวงให้ชายหลงใหลได้ปลื้ม จากนั้นจะกล่อมจนหลับ แล้วจึงใช้ฟันอันแหลมคมฉีกเนื้อของมนุษย์ออกเป็นชิ้น ก่อนจะกินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นอย่างอิ่มอร่อย

ที่มา

วิหกเพลิง ฟีนิกส์ (Phoenix)



ในตำนานของพวกอียิปต์โบราณ ฟีนิกซ์ ถือเป็นสัตว์เทพที่ควรค่าแก่การบูชาและยกย่องนับถือ ฟีนิกซ์เป็นเทพแห่งไฟ ดังนั้นจะสังเกตได้จากลักษณะของขนนกของนกฟีนิกซ์ ซึ่งจะเปล่งประกายเป็นสีเหลืองทองคล้ายกับเปลวไฟ แต่บ้างก็ว่า ฟีนิกซ์ปกคลุมด้วยเปลวไฟทั่วทั้งตัว และด้วยความที่เป็นสัตว์เวทย์ตัวหนึ่งที่เป็นเทพแห่งไฟ บางครั้งจะอาจพบว่า ฟีนิกซ์สามารถใช้มนตร์ไฟได้

นกฟีนิกซ์มีขนาดตัวเท่ากับนกอินทรีตัวโตๆ รูปร่างสวยสง่างาม ส่วนของจงอยปากและขาจะเป็นสีทอง และมีประกายขนเป็นสีแดงถึงเหลืองทอง ฟีนิกซ์มีเสียงร้องอันแสนไพเราะเพราะพริ้ง ก้องกังวาลราวกับเสียงดนตรี บทเพลงของฟีนิกซ์ มีความสามารถในการกระตุ้นความกล้าหาญ และก่อให้เกิดความเกรงกลัวในจิตใจที่กำลังคิดร้ายได้ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยน บางครั้งก็ดูหยิ่งผยอง แต่บางครั้งก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ ตำนานบางเรื่องเล่าขานกันว่า นกฟีนิกซ์สามารถคืนชีวิตให้แก่ผู้ตายได้ โดยน้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ภาวะปกติได้อีกด้วย

เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีชีวิตเป็นอมตะนิรันดร เพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพได้ใหม่เสมอ โดยเมื่อจากที่ฟีนิกซ์สิ้นอายุขัย (500 ปีหรือ 1461 ปี) ร่างกายของมันก็จะลุกเป็นไฟ จากนั้นลูกนกฟีนิกซ์ตัวใหม่ก็จะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง

ตำนานนกฟีนิกซ์ปรากฏอยู่ทั่วไปในอารยธรรมโบราณ โดยมนุษย์เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุดในโลก และคาดว่าเป็นเครือญาติเดียวกันกับหงส์หรือนกยูง ฟีนิกซ์จะมีสีแดงเข้มคล้ายสีของไฟ และมีแผงคอเป็นสีทอง ผสมด้วยสีแดงและสีน้ำเงิน บางที่ก็ว่าเป็นสีม่วง หรือมี 5 สีตามความแบบความเชื่อของจีน ซึ่งสีแต่ละสีที่ปรากฎขึ้นมาน่าจะเป็นการผลัดขนหลายๆครั้งตลอดช่วงชีวิตของมันในช่วงระยะเวลา 500 ปีผ่านมานั่นเอง

วรรณกรรมกรีกโบราณที่มีชื่อว่า Account of Egypt ที่แต่งขึ้จนโดยกวีเฮโรโดตัส เมื่อประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาลเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกที่กล่าวถึงนกฟีนิกซ์ ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อนกฟีนิกซ์ใกล้จะหมดอายุขัยในช่วงอายุ 500 ปี มันจะเริ่มรู้ถึงชะตากรรมที่จะเปลี่ยนแปลงไปของตนเอง โดยจะสร้างรังกองฟืนไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมขึ้นมา แล้วนั่งคอยที่กองฟืนแห่งนั้นพร้อมร้องเพลงอย่างสบายใจ เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดเข้ามาต้องกานฟีนิกซ์ มันก็จะเผาตนเองด้วยไฟจนไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้น ฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นมาโดยเริ่มนับอายุเป็นศูนย์ใหม่นั่นเอง จากนั้นมันก็จะต้องทำภารกิจโดยการรวบรวมเอาเถ้าถ่านของพ่อแม่ที่ดับสูญไปแล้วไปฝังที่วิหารเฮลิโอโปลิส หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ แล้วจึงสามารถบินกลับมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนร่างอีกครั้ง

ส่วนจุดกำเนิดของตำนานนกฟีนิกซ์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหนังสือแห่งเวทมนตร์ที่ชื่อว่า Book of Dead เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงนกยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับนกฟีนิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง จากนั้นจึงเคลื่อนที่ไปยังเฮลิโอโปลิสเพื่อประกาศยุคใหม่ และด้วยความที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องจากทิศตะวันออกไปสู่ตะวันตก นกยักษ์ตัวนี้จึงปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับการต้อนรับเช้าวันใหม่ จนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง

การฟื้นคืนจากความตายโดยเกิดใหม่จากกองเถ้าถ่านของตัวเอง ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินทั้งหลายทั้งนักกวีและนักเขียนได้นำเอาเรื่องราวเช่นนี้ไปเผยแพร่ต่อ จนในที่สุด เรื่องราวของนกฟีนิกซ์ก็แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมหรือนิยายหลายต่อหลายเรื่องจนดูสมจริงและน่าเชื่อถือ

อีกหนึ่งเรื่องเล่าของนกฟีนิกซ์ที่สอดคล้องกับอดีตกาลของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือที่ใครเรียกกันว่า เทพอพอลโล มีเรื่องเล่าว่า เทพอพอลโลได้เห็นถึงความสวยงามของนกฟีนิกซ์ และต้องการให้มาเป็นนกข้างกายของพระองค์ พร้อมกับได้มอบพรวิเศษที่เป็นอมตะตอบแทนการเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ภักดีต่อพระองค์ ซึ่งเมื่อนกฟีนิกซ์ได้พรวิเศษดังกล่าวแล้ว ก็สุดแสนจะยินดี มันจึงก้มศีรษะเพื่อแสดงการคารวะ และเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงเพื่อสรรเสริญในการได้รับรางวัลครั้งนี้ เนื้อเพลง คือ “สุริยเทพผู้รุ่งโรจน์ สุริยเทพผู้สง่างาม ข้าจะเป็นประหนึ่งในผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่าน และเป็นนกฟีนิกซ์แห่งสุริยเทพแต่เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์” นอกจากนี้ นกฟีนิกซ์จะคอยขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาเช้าตรู่ของทุกวัน พร้อมกับบินไปทางตะวันออกเพื่อเปล่งเสียงสรรเสริญด้วย

แต่เมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี นกฟีนิกซ์ก็เแก่ตัวลงเรื่อยๆ จนไม่มีแรงพอที่จะขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าได้อีกต่อไป นกฟีนิกซ์จึงได้ร้องขอกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ว่าให้ช่วยคืนความหนุ่มและความแข็งแรงกลับมาเป็นของตนอีกครั้ง แต่เหมือนว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะไม่ได้ตอบรับอะไรแก่นกฟีนิกซ์ เจ้านกฟีนิกซ์จึงต้องบินกลับรังไปเช่นเดิม ระหว่างทาง นกฟีนิกซ์ได้พบกับไม้หอมนานาชนิด จึงได้เก็บเอาไว้เพื่อที่จะได้นำมาสร้างรังบนยอดต้นปาล์ม หลังจากนั้นก็ขอร้องความเป็นหนุ่มและความความแข็งแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง ในครั้งนี้ คำร้องขอของนกฟีนิกซ์ก็สัมฤทธิ์ผล เพราะต่อจากนั้นไม่นาน ก็เกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาบนรังของนกฟีนิกซ์ ทำให้ทั้งรังและนกฟีนิกซ์ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นก็ทำให้นกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงขับกล่อมบทเพลงที่ดังกังวาลเพื่อสรรเสริญแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง และในทุกๆ 500 ปีที่ล่วงเลยผ่านไป นกนกฟีนิกซ์ก็จะบินกลับมาที่เดิม เพื่อรอคอยให้สุริยเทพเผาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายให้กลับมาเป็นนกหนุ่มตัวใหม่ที่แข็งแรงอีกครั้ง

ตำนานกรีกยังมีเรื่องเล่าเพิ่มเติมอีกด้วยว่า นกฟีนิกซ์จะพักพิงอยู่ในแถบอาระเบีย โดยจะมีชีวิตอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น และในทุกๆเช้าที่พระอาทิตย์เริ่มส่องแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ก็จะต้องหยุดรถม้า เพื่อรอฟังการขับกล่อมเสียงเพลงอันแสนไพเราะของนกฟีนิกซ์ ในช่วงเวลาที่มันลงไปเล่นน้ำในทุกวัน นกฟีนิกซ์มีชีวิตที่แสนศิวิไลซ์ อาหารสุดโปรดของนกฟีนิกซ์จึงเป็น สายลมเบาๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือเมฆหมอกบริสุทธิ์ ที่ล่องลอยขึ้นมาเหนือแม่น้ำและท้องทะเล

ส่วนคุณลักษณะพิเศษของนกฟีนิกซ์ถือเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสัตว์ตัวไหนๆ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวหรือปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับตัวดิริคอว์ล เพลงที่นกฟีนิกซ์ขับร้องออกมาก็มีเวทมนตร์ที่กระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ในมนุษย์ และก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจสำหรับบุคคลที่กำลังคิดร้ายอยู่ หากใครมีบาดแผลหรือสิ้นใจ ก็สามารถใช้น้ำตาของนกฟีนิกซ์เป็นยาในการรักษาบาดแผล และช่วยชุบชีวิตให้บุคคลผู้นั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้านกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้ใครก็ได้ในทุกคน บุคคลที่นกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้จะต้องมีคุณงามความดีมากพอที่จะมีสิทธิในการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ด้วยวงจรชีวิตที่เกิดและตายใหม่ได้ทุกครั้ง ทำให้ตำนานของกรีกและโรมันเชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิตเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ทำให้ในช่วงต้นของคริสต์ศาสนา ได้มีการสลักรูปนกฟีนิกซ์ออกมาเป็นลวดลายบนหิน เพื่อใช้ปิดบนหลุมฝังศพ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ มีความหมายว่า เป็นผู้ที่จากไปและจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งนั่นเอง

ไม่เพียงแค่ตำนานเท่านั้น แต่เรื่องราวความเป็นอมตะของฟีนิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนหลายเรื่อง อย่างเช่น การ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ฮิโนโทริ วิหคเพลิง” ที่แต่งขึ้นโดย เท็ตซึกะ โอซามุ การ์ตูนเรื่องนี้แฝงเอาไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิต ที่ได้รับคำชื่นชมจากผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่มากที่สุด เนื้อหาที่บอกเล่าก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำบอกเล่าที่กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิง จะทำให้มีชีวิตเป็นอมตะไม่มีวันตาย และเพราะความกระหายอยากได้ของมนุษย์ ทำให้เป็นต้นเหตุของการเกิดสงครามล้างแผ่นดินขึ้นมานั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องได้บอกเล่าถึงการเกิดและตายของนกฟีนิกซ์ เช่นเดียวกับที่เราเคยได้ยินตำนานในฝั่งตะวันตก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการแฝงปรัชญาแห่งชีวิตเอาไว้อีกมากมายด้วย ตัวอย่างตอนหนึ่งของเรื่องเป็นตอนที่ นาคีซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ได้เอ่ยปากถามนกฟีนิกซ์ว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่มีวันตาย ในขณะที่พวกเราที่เป็นมนุษย์ต้องตายทุกคน ทำไมถึงอยุติธรรมจริงๆเลย” “อยุติธรรมเหรอ? พวกเจ้าต้องการอะไรในชีวิตบ้าง ระหว่าง อำนาจก็การจะไม่ตาย หรือความสุขที่ได้ใช้ชีวิต” วิหคเพลิงพูด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เจ้าก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ ที่ไม่มีวันตาย” นาคีว่า “นาคี เจ้าลองดูที่เท้าตัวเองสิ มีแมลงติดอยู่ พวกมันมีชีวิตสั้นเพียงแค่ครึ่งปี หากเป็นแมงเม่ายิ่งมีชีวิตสั้นเข้าไปใหญ่ เพราะพวกมันจะตายภายใน 3 วันเท่านั้น มนุษย์จึงถือว่ามีชีวิตที่ยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมว หรือลิงตั้งหลายปี ตลอดช่วงชีวิตเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะได้พบกับความยินดีในการมีชีวิต ซึ่งนั่นก็คือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ?” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ

แม้ว่าความเป็นจริงแล้ว “ฟีนิกซ์” จะเป็นเพียงนกในตำนาน แต่ก็ถือเป็นตำนานที่แสนยิ่งใหญ่ที่ใครๆก็รู้จักและถูกเล่าขานกันจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกแสนนาน โดยเฉพาะเรื่องของการเสียสละ ที่ยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อจะได้มีชีวิตใหม่ในวันต่อไป

ที่มา

สฟิงซ์ (Sphinx)



สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นสัตว์ลูกผสมของสัตว์หลายๆชนิดที่รวมร่างอยู่ในตัวเดียวกัน สฟิงซ์แยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ทำให้เป็นการเพิ่มเติมสีสันและทำให้สฟิงซ์ดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

 สฟิงซ์ของกรีก
ตามความเชื่อกรีก สฟิงซ์เป็นหนึ่งในบรรดาลูกของอีคิดนาและไทฟอน ซึ่งสฟิงซ์มีลักษณะใบหน้าและอวัยวะส่วนบนเป็นหญิงสาว ส่วนท่อนล่างมีลักษณะเป็นสิงโตที่มีปีกคล้ายนกอินทรี ส่วนลักษณะนิสัยของสฟิงซ์นั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะมันมักจะชอบทรยศผู้อื่น ก้าวร้าว กระหายเลือด และกินคนเป็นอาหาร

นอกจากนี้ สฟิงซ์ยังมีอีกลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ลักษณะนิสัยคล้ายแมว หรือ คล้ายผู้หญิงด้วย กล่าวคือ มันจะหลอกล่อเหยื่อโดยการเข้าไปพูดคุยหยอกล้อเสียก่อน เมื่อเหยื่อเผลอจึงจะกินเหยื่อเข้าไป อย่างไรก็ตาม หากเหยื่อสามารถหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะทำโทษตัวเองโดยการทิ้งดิ่งกระแทกตัวลงพื้นหรือพุ่งชนอะไรสักอย่าง จนสิ้นใจตายไปในที่สุด

นอกจากนี้ ปกติแล้วสฟิงซ์จะไม่เข้าทำร้ายเหยื่อในทันทีทันใด แต่จะเปิดโอกาสให้เหยื่อได้แสดงสติปัญญาด้วยการตอบคำถามเสียก่อน หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx)’ ซึ่งหากเหยื่อตอบถูก เหยื่อก็จะได้รับอิสระ

ครั้งหนึ่งมี เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ ได้ผ่านมาที่เมืองธีบีสพอดี สฟิงซ์จึงกระโดดออกมาขวางหน้า ก่อนส่งเสียงคำรามเพื่อข่มขู่เหยื่อให้เกรงกลัวขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นจึงถามปัญหาแก่เอดิปุสว่า “อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า แต่เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? ” เอดิปุสตอบคำถามได้อย่างทันทีอย่างไม่ลังเลว่า คือ มนุษย์นั่นเอง เพราะมนุษย์ย่อมเริ่มต้นจากการคลานด้วยมือและเข่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จากนั้นก็พัฒนามาเป็นการยืนด้วยขาเมื่อเขาโตเต็มที่ และสุดท้ายก็ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามเมื่อถึงช่วงเวลาสายัณห์ของชีวิต” เมือสฟิงซ์ได้ฟังคำตอบ ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ผู้ไหนเลยตอบคำถามนี้ได้ถูก นางจึงบินโผขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และทิ้งตัวดิ่งลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย

หากพูดถึงสฟิงซ์ของกรีก มีเรื่องราวอันแสนโด่งดังเรื่องหนึ่ง คือ “เจ้าแม่เฮรา (Hera)” ซึ่งเจ้าแม่ได้ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เนื่องจากความเมาไร้สติสัมปะชัญญะของพวกเขา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ไดโอนิซุส ผู้เป็นเทพแห่งสุราเมรัยได้เข้ามาสอนวิธีการทำไวน์ให้แก่ประชากรในเมืองนี้



สฟิงซ์ของอียิปต์

มหาสฟิงซ์ และ พีระมิดคาเฟรในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า

พันธุ์ของสฟิงซ์ในอียิปต์ เราจะเรียกกันว่า ‘แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)’ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับสิงโต โดยส่วนหัวจะเหมือนมนุษย์ และมีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ ได้แก่ เคราที่คาง งูจงอางแผ่แม่เบี้ยตรงหน้าผาก และมีเครื่องประดับรัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน

สฟิงซ์ เป็นรูปเหมือนขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าขนาดจริงของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ ถึงสองเท่า และช่วงที่แปลงร่างเป็นสิงโตจะมีศีรษะเป็นฟาโรห์อียิปต์ หรือที่เรียกกันว่า “sphingein (การบีบรัด)” นั่นเอง

อียิปต์มีรูปสลักสฟิงซ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร หนึ่งในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex) ที่แสนโงดังนั่นเอง



สฟิงซ์ของตะวันออกกลาง

ทางตะวันออกกลาง เชื่อว่า สฟิงซ์เป็นสัตว์แสนฉลาด เนื่องจากมันจะไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้ใด และพอใจที่จะนอนกลางแดดอย่างมีความสุข ให้ผู้คนมาเคารพบูชาเทิดทูนมัน

นอกจากนี้ ยังมีสฟิงซ์แบบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสฟิงซ์พวกนี้แตกออกมาจากสฟิงซ์ของอียิปต์  เช่น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะหรือเหยี่ยว  ส่วนในประเทศเปอร์เซีย (Persia) , แอสซีเรีย (Assyria) , และฟีเนียเซีย (Phoenicia) นั้นปรากฏว่ามีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ โดยหากเป็นตัวผู้จะมีหนวดและมีผมหยักศก แต่หากเป็นโรมโบราณสฟิงซ์จะเป็นเพศหญิง โดยสฟิงซ์ตัวนี้จะสวมงูแอสพ์ (Asp) คาดไว้บนหน้าผากด้วย ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นแบบที่ส่งมาจากอียิปต์ก็เป็นได้

ที่มา

นารีผล หรือมักกะลีผล


นารีผล มักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชแสนวิเศษที่มีรูปร่างเป็นหญิงงาม และพบได้ตามป่าหิมพานต์ เชื่อกันว่า นารีผลจะมีขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ รูปร่างของผลสดจะสวยงามคล้ายผู้หญิงที่มีหุ่นดี และมีผิวพรรณสวยงาม

ความเชื่อตามตำนานเล่าว่า เมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่ผ่านมา ในครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี และบุตรอีก ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ได้ถูกขับไล่ออพจากพระนคร พวกเขาได้เดินทางเข้ามาสู่ป่าหิมพานต์ และต่างพยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เชื่อกันว่า ในป่าหิมพานต์มีสัตว์ป่าร้ายกาจอยู่นับไม่ถ้วน แต่ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลายต่างได้รับความเมตตาจากพระเวสสันดรด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้สัตว์ป่าเหล่านั้นกลายเป็นมิตรและคลายความดุร้ายลง ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกเหนือจากสัตว์ป่า อย่างพวกดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร หรือคนธรรพ์ ก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ ตามปกติทั่วไป

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระนางมัทรีผู้มีรูปโฉมงดงาม ได้ออกหาอาหารตามลำพังเพื่อประทังชีวิต พระนางก็ได้ไปปรากฎกายให้พวกนักสิทธิ์ วิทยาธร รวมถึงฤๅษีได้มาพบเจอ จนในที่สุด ผู้ทรงศีลทั้งหลายก็ตบะแตกเพราะความงามของนาง

พระอินทร์ ซึ่งจำแลงกายมาเป็นท้าวสักกะเทวราช เริ่มมองเห็นถึงลางร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงพยายามหาวิธีปองกันโดยทำการเนรมิตต้นไม้วิเศษขึ้นมา ๑๖ ต้น  ก่อนจะทรงวางไว้รอบทิศก่อนจะถึงดินแดนอันเป็นที่อาศัยของพระเวสสันดรและนางมัทรี ต้นไม้วิเศษนี้ออกผลออกมาแปลกประหลาดกว่าต้นไม้โดยทั่วไป เพราะผลของมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์สตรี และเมื่อผลสุกเต็มที่ ก็จะมีรูปร่างสวยงามราวกับสาวงามแรกรุ่น และมีผิวพรรณหรือหน้าตาที่สวยงามปานเทพธิดาลงมาจุติ

ซึ่งต่างก็เชื่อว่า แต่ละผลก็คือเทพธิดาหนึ่งนาง หรือเมื่อใดที่ต้นนารีผลออกดอกออกมา ก็เปรียบเหมือนเกิดเป็นวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้น ซึ่งความสวยงามของผลนารีผลแต่ละผลจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่บุญกรรมของเทพธิดาแต่ละนาง และเทพธิดาที่ลงไปจุติที่นารีผล ก็ล้วนไปตามชะตากรรมของตนเอง

ด้วยความงดงามของต้นนารีผล จึงส่งผลให้เหล่านักสิทธิ์และวิทยาธรตบะแตกได้ หากจิตใจของพวกเขายังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งก็มีบางรายที่ได้เสพบำเรอกับนารีผล จนเมื่อตบะแตกก็ทำให้ฤทธิ์ที่มีเสื่อมลง ไม่สามารถเหาะต่อไปได้ ทำให้หมดโอกาสที่จะได้พบกับพระนางมัทรีอีก หากต้องการจะเดินทางต่อไป ก็จำเป็นจะต้องบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งต้นนารีผลนี้จึงสามาถป้องกันไม่ให้ใครคนไหนเข้าล่วงศีลกับพระนางมัทรีได้เลย

แม้ว่าภายหลังที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรีจะเสด็จเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผลที่เคยมีก็ยังคงอยู่ที่เดิมไปตลอด และยังคงมีดอกหอมกรุ่นอยู่บนต้น แม้ว่านารีผลจะหมดอายุขัย เหี่ยวเฉา และร่วงหล่นไปบางแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฎเป็นลูกใหม่ขึ้นมาแทนที่อย่างต่อเนื่อง

ต้นนารีผลสามารถใช้เป้นที่ทดสอบจิตใจของฤาษีได้ ว่ากันว่า ฤๅษีบางตนที่บำเพ็ญเพียรจนตบะแก่กล้า และไร้กิเลส จะเดินทางมาที่ต้นนารีผลเพื่อทดสอบจิตตน โดยพวกเขาจะเหาะมาที่ต้นนารีผล และจ้องมองผลนารีเหล่านั้น เพื่อดูว่าตนจะอดทนได้หรือไม่ หรือบางครั้งก็อาจอาจารย์ฤๅษีพาลูกศิษย์มาทดสอบระดับจิต ซึ่งก็สามารถใช้ต้นนารีผลเป็นเครื่องมือในการฝึกควบคุมจิตได้เช่นกัน แต่ก็มีพวกนักสิทธิ์วิทยาธร ที่มักจะเหาะมาเพื่อเก็บนารีผลกลับไปเชยชม แล้วค่อยฝึกจิตใหม่ภายหลังก่อนจะกลับมาอีกครั้ง

นารีผล จึงกลายเป็นที่โปรดปรานของสัตว์วิเศษรวมถึงวิทยาธรทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น ทำให้นารีผลส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะแห้งตายคาต้น เพราะก่อนที่จะหมดอายุขัยของมันก็มักจะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร มาเก็บเอาไปเชยชมเสียก่อนแล้ว



กล่าวถึงเรื่องราวในอรรถกถาที่เกี่ยวข้องกับนารีผลตอนหนึ่งว่า

เมื่ออดีตกาล ในครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตขึ้นครองราชย์ปกครองพระนครพาราณสี ได้มีพระโพธิสัตว์มาบังเกิดในตระกูลของพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เมื่อพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้นก็ได้ร่ำเรียนสรรพศิลปศาสตร์ ก่อนจะบวชเป็นฤๅษี โดยมีมูลผลาผลในป่าไว้ยังชีพ

ครั้งหนึ่ง เกิดมีแม่เนื้อตัวหนึ่งไปมาเคี้ยวกินหญ้าในสถานที่ที่พระดาบสปัสสาวะ ทำให้หญ้านั้นเจือปนไปด้วยน้ำเชื้อ ซึ่งยังผลให้แม่เนื้อเกิดมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส และตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่เนื้อตัวนี้ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างจากอาศรมไปไหนเลย ไม่นานต่อมา แม่เนื้อก็ได้คลอดบุตรออกมาเป็นมนุษย์ ซึ่งพระมหาสัตว์ก็ทรงรู้เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงได้ทรงรับเลี้ยงทารกผู้นั้นเอาไว้ด้วยความรักใคร่ในฐานะที่เป็นบุตรของตน พร้อมตั้งนามว่า อิสิสิงคกุมาร

เวลาผ่านไป เมื่ออิสิสิงคกุมารเติบใหญ่ขึ้น พระมหาสัตว์จึงทรงบวชในบุตรชาย และได้พาดาบสกุมารไปพบนารีวัน (ป่านารีผล) พร้อมสอนบุตรของตนว่า ลูกรัก เหล่าสตรีก็เป็นเหมือนเช่นกับดอกไม้ที่มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีทั้งหมดย่อมมีผลทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจเกิดความพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงได้  เจ้านั้นไม่ควรที่จะไปหลงอำนาจของสตรีพวกนี้ จากนั้น ก็ทำกาลกิริยา เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่เบื้องหน้า ส่วนอิสิสิงคดาบส ก็ประลองฌานกีฬาอยู่ในหิมวันตประเทศ จนได้เป็นผู้มีตบะแรงกล้า

ครั้งหนึ่ง เมื่อพิภพของท้าวสักกเทวราชสั่นครอนด้วยพระเดชของพระดาบส ท้าวสักกเทวราชได้ทรงใคร่ครวญ และเห็นว่า พระดาบสผู้นี้น่าจะเป็นบุคคลที่ทำให้ท่านหลุดจากการเป็นท้าวสักกะได้ จึงต้องการทำลายศีลของพระดาบส โดยการส่งนางอัปสรคนหนึ่งให้ไป เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วว่า เหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งทั่วทั้งหมด คงจะมีแต่นางอัสสรที่มีนามว่า อลัมพุสา เพียงผู้เดียวที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสให้แตกได้

ซึ่งสิ่งที่ท้าวสักกเทวราชคาดการณ์เอาไว้ก็บังเกิดความสำเร็จ เมื่อนางอลัมพุสาเทพอัปสรได้เข้าไปปรากฎตัวให้อิสิสิงคดาบสได้เห็น ซึ่งในขณะที่อิสิสิงคดาบสได้ประกอบความเพียรในตอนกลางคืนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไปสรงน้ำและทำอุทกกิจเสร็จ จากนั้นจึงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลา ก่อนจะออกมากวาดโรงไฟ แต่เมื่อเห็นนางอลัมพุสาเทพอัปสรมาเผยโฉมความงามอยู่เบื้องหน้าของพระอิสิสิงคดาบส และแสดงมารยาหญิงอันทรงเสน่ห์ ก็ทำให้พระดาบสหนุ่มลุ่มหลง และถูกทำลายศีลในที่สุด


เวตาล


เวตาล เป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวผี ตามความเชื่อในนิทานปรัมปราของศาสนาฮินดู กล่าวกันว่า ในตอนกลางวัน เวตาลจะมีชีวิตอยู่ในซากศพของผู้อื่น และศพเหล่านี้จะถูกเวตาลใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง หากเวตาลเข้าไปอาศัยร่างของศพใด  ซากศพนั้นก็จะไม่เน่าเหม็น ส่วนตอนกลางคืน เวตาลจะออกมาจากศพเพื่อออกหากิน  แต่หากค้นหาความหมายของคำว่า เวตาล ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 จะพบความหมายว่า เวตาล คือ ผีที่ชอบสิงสถิตอยู่ในป่าช้า

ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าตามตำนานว่า เวตาลเป็นผีร้ายที่ไม่ยอมไปเกิด แต่ยังคงอาศัยอยู่ตามสุสาน เพื่อเข้าสิงร่างซากศพในบริเวณนั้น เวตาลชอบที่จะทำร้ายมนุษย์ที่เข้าไปรบกวน ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนบ้า ฆ่าเด็ก และทำแท้งลูก ส่วนเหยื่อที่เวตาลเข้าสิงจะมีมือและเท้าหันกลับด้านไปข้างหลังเสมอ ส่วนข้อดีที่มีเพียงน้อยนิด ก็คือ เวตาลสามารถช่วยเฝ้าดูแลหมู่บ้านของมันได้

เนื่องด้วยความร้ายกาจของเวตาล เวตาลจึงมักคอยทำร้ายบุคคลที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้ ทำให้พวกเขาถูกกักขังอยู่ในแดนสนธยาทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เวตาลอาจได้รับครื่องเซ่นเป็นอามิส หรือถูกบังคับให้ตื่นตกใจด้วยเวทมนตร์ ปีศาจเหล่านี้จะพ้นจากความเป็นปิศาจได้ก็ต่อเมื่อมีการทำพิธีศพให้แก่ตนเอง แต่หากกลายร่างเป็นปิศาจแล้ว ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎของกาลเวลาและเทศะได้

เวตาลจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการรับรู้ถึงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้  อีกทั้งยังสามารถหยั่งรู้ถึงใจตนเองได้ ด้วยความสามารถดังกล่าว จึงทำให้หมอผีหลายคนต้องการตัวเวตาล เพื่อบังคับเอาไว้ใช้เป็นทาสได้

มีตำนานหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เคยมีหมอผีทูลบอกให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ออกไปตามล่าเวตาล ที่อาศัยอยู่ที่ใจกลางของสุสานบนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยจับเวตาลได้ ก็คือ ต้องไม่ทำเสียงดังทำ และห้ามเผลอพูดคำใดออกมา ไม่เช่นนั้น เวตาลจะไม่ยอมให้จับและหนีกลับไป

ครั้นเมื่อพระเจ้าวิกรมาทิตย์สามารถจับตัวเวตาลได้ ก็มักถูกเวตาลแกล้งเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งทุกครั้งนิทานจะจบลงด้วยคำถาม ที่ทำให้ต้องตอบคำถามนั้นทุกครั้งไป จนพระองค์ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถจับเวตาลได้ และมันก็กลับไปยังต้นไม้ต้นเดิม

เรื่องราวทั้งหมดของเวตาลถูกนักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่มีนามว่า โสมเทวะ รวบรวมไว้ในหนังสือกถาสริตสาคร ที่เรียกว่า “เวตาลปัญจวิงศติ” (เป็นนิทานของเวตาลที่มีจำนวนเรื่อง 25 เรื่อง)



ผีปอบ ภูติร้ายจอมตะกละ


“ผีปอบ” กำเนิดมาจากการที่ผู้มีวิชาทางไสยศาสตร์และมีมนต์ดำแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันแสนขลังจากเวทมนตร์คาถาเพื่อสั่งไปทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำเสน่ห์ยาแฝด การฝังรูปฝังรอย การเสกหนังควายเข้าท้อง การเสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณหรือภูตผีไปเข้าสิง

พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าวิชาทางไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเดียรฉาน ทำให้ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์จะต้องมีข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดในข้อห้ามหรือข้อปฏิบัตินั้นๆโดยเด็ดขาด หากเมื่อใดที่มีการกระทำผิดตามข้อห้ามที่ระบุไว้ ชาวอีสานจะเรียกว่า “คะลำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษหนักในข้อ “ผิดครู” ตามมา

วิญญาณของบรมครูจะลงโทษคนทำผิดโดยการสั่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ การเล่นคาถาอาคมอย่างหนัก และใช้ความขลังแห่งวิชามนต์ดำไปทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป รวมไปถึงการกระทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ จนกระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง จนทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นปอบไปในที่สุด



ประเภทของผีปอบ 

ปอบสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังต่อไปนี้

1. “ปอบธรรมดา” หมายถึง คนที่มีร่างของปอบสิงอยู่  เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ในคนพวกนั้นก็จะ ตายตามไปด้วย

2. “ปอบเชื้อ” หมายถึง ครอบครัวใดที่มีพ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะต้องสืบทอดเชื้อสายการ เป็นปอบต่อไปด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสืบต่อทางกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ก็จำเป็นต้องเป็นปอบต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีวันรู้จบ

3.  “ปอบแลกหน้า” หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ที่ถนัดเอาความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาที่ปอบชนิดนี้เข้าไปสิงใคร เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบจะไม่ยอมบอกความจริง แต่จะไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อไม่ทราบเรื่องราวอะไรเลย

4.  ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึง ปอบที่ไม่ยอมพูดจาจนกว่าจะมีคนถาม หรือจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ ปอบตัวนั้นจึงจะยอมเปิดปากพูดความจริงว่าตนเป็นปอบของใคร หรือมีใครใช้ให้มา เข้าสิง



ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง

ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง หรือที่ชาวอีสานมักเรียกกันว่า “ปอบเข้า” จะมีอาการแตกต่างกันไปต่างๆนานา บางคนอาจแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนอาจจะนอนซมคล้ายคนป่วยไข้อย่างหนัก ในขณะที่บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานา

โดยมากผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะร้องเรียกหาอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็น พวกตับหมูตับไก่ต้ม และเวลากินอาหารก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติของมนุษย์ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยผู้นั้นถูกปอบเข้าสิง ก็มักจะไปตามหมอผีให้ช่วยมาขับไล่ผีปอบให้ออกจากคนป่วยผู้นั้น

วิธีการไล่ปอบให้ออกจากร่างมนุษย์ มีอยู่หลายวิธีตามแต่แนวทางที่หมอผีผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางคนอาจจะเอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยผู้นั้นสำลักควันน้ำตาไหลพาก และเมื่อปอบออกจากร่างผู้ป่วยไปได้แล้ว หมอผีก็จะทำการข่มขู่ โดยการสอบถามว่าผีปอบตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อผีปอบรับสารภาพ หมอผีก็จะใจดีปล่อยปอบตัวนั้นไป

ผู้ป่วยที่ผีปอบออกจากร่างไปแล้ว ก็จะค่อยๆได้สติในภายหลัง เมื่อฟื้นขึ้นมานัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกรมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับจะมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือด จนไม่อาจสู้หน้าใครได้ และต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครพบหน้า

หมอผีทั่วไปมักนิยมไล่ผีปอบโดยการใช้หวายเพื่อเฆี่ยนไล่ปอบ แต่การเฆี่ยนไล่ปอบก็เท่ากับการเฆี่ยนตีคนป่วยคนนั้นไปด้วย และหากปอบตัวไหนขัดขืน หมอผีก็จะต้องเฆี่ยนตีหนักขึ้น จนกระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย แต่เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายที่เคยมีก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่การผีปอบแบบนี้เคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยผู้นั้นไม่ได้ถูกปอบเข้าสิงจริง แต่กลับป่วยเป็นโรคประสาทต่างหาก เมื่อญาติคิดว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะปอบเข้าสิง จึงไปตามหมอผีให้มาไล่ หมอผีจึงจัดการเฆี่ยนตีคนป่วยด้วยหวายจนได้รับความบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน จนในที่สุด คนป่วยก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตจากความบาดเจ็บ เรื่องนี้ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย ส่วนหมอผีก็ต้องคิดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ

อีกหนึ่งวิธีที่หมอผีนิยมใช้ขับไล่ปอบ ก็คือการนำเอาสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวมาข่มขู่ปอบ ตัวอย่างสัตว์ เช่น คางคก ตุ๊กแก งู เป็นต้น สำหรับกรณีนี้มักใช้กับคนที่ถูกปอบเพศหญิงเข้าสิง เพราะเมื่อผีปอบเหล่านี้โดนข่มขู่ด้วยสัตว์ ก็จะเกิดอาการขยะแขยง และยอมออกจากร่างที่เข้าสิงไปอย่างง่ายดาย

ส่วนผีปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้า เวลาที่เข้าสิงใครจะไม่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย การไล่ผีปอบจะพบข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมปูดนูนขึ้นที่ใต้ผิวหนัง เวลาที่หมอผีจี้ก้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก ปอบที่แก่กล้าจะทำให้ก้อนกลมนี้จะเลื่อนหนีไปได้ และจะเป็นการลวงหมอผีว่าวิญญาณของปอบออกจากร่างบุคคลนั้นไปแล้ว ทั้งที่จริงยังคงอยู่ โดยมากปอบมักจะเลื่อนก้อนกลมหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หมอผีหาไม่พบ

แต่สำหรับหมอผีรุ่นครูจะมีวิธีพิเศษที่จะช่วยขับไล่ปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้าให้ออกไปได้ โดยหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมมัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นจึงใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆใต้ผิวหนัง เมื่อก้อนกลมนี้หนีไปที่ใด ก็จะตามจี้ติดไปไม่ยอมปล่อย และเมื่อปอบถูกไพลเสกจี้ หรือที่ทางอีสานเรียกว่า “แทง” ปอบจะร้องโอดครวญดังลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส หมอผีจะขู่บังคับให้ปอบบอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดีหลังจากที่โดนทรมานจนหวาดกลัวและเข็ดหลาบไปแล้ว หลังจากนั้น หมอผีจะแก้มัดปอบด้วยด้ายสายสิญจน์ แล้วปล่อยให้ปอบออกไป

หมอผีบางรายอาจมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด เพื่อทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนา มาครอบศีรษะของคนที่ถูกปอบสิง จากนั้นจะใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟคล้ายๆกับการโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ แล้วจึงปล่อยให้ปอบออกจากร่างไป วิธีการไล่ปอบเช่นนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบ หรือผู้ที่เลี้ยงปอบเอาไว้เส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ ทำให้ไม่กล้าหนีออกจากห้องไปไหน และต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรืออาจต้องใช้ผ้าปกคลุมปิดศีรษะตลอดเวลา


ผีกระหัง คนกระด้งเหาะ


กระหัง เป็นผีที่มีลักษณะเป็นผู้ชาย โดยตามความเชื่อพื้นบ้านมักกล่าวกันว่า กระหังเป็นผีที่มีอุปนิสัยคล้ายกับกระสือ สามารถบินได้ โดยใช้กระด้งฝัดข้าวเป็นอุปกรณ์ในการโผบิน กระหังจะนั่งบนสากตำข้าวควบคู่กัน ตามความเชื่อพบว่า การจะเป็นกระหังได้นั้น สามารถเป็นได้ไม่ยาก เนื่องจากการเป็นกระหังเกิดจากการผิดครู คือการผิดคำสัญญากับครูอาจารย์ทางเวทมนตร์ ยกตัวอย่างเช่น การผิดคำต้องห้ามในการกินอาหารที่เป็นบวบ การเดินลอดสะพาน เป็นต้น

ที่มา