วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559
ความเป็นมาของโจรสลัด ตอนที่2
โจรไวกิ้ง จอมโหดทั้งหญิงชายที่ออกมาล่าเหยื่อกันแถวๆ ทะเลเหนือและยุโรปช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 800-1,100 นั้น พวกไวกิ้งขยายพื้นที่ปฏิบัติการไปจดรัสเซีย และกรุงคอนสแตน-ติโนเปิล (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) เล่นเอาข้าวของแพง เดือดร้อนไปตามๆ กัน น่าแปลกที่โจรไวกิ้งที่ฝากชื่อมาถึงสมัยปัจจุบันล้วนเป็นสตรีทั้งนั้น ตระกูลสูงเสียด้วย (อาจเป็นเพราะไม่มีใครจำชื่อนายโจร เนื่องจากไม่ใช่ของแปลกและน่าดู)
มหาโจรี อัลวีดา เจ้าหญิงแห่งก็อทแลนด์ (ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศสวีเดน) ผู้หนีออกมาจากตำหนักเพราะไม่อยากแต่งงาน และเบื่อพระบิดาที่แสนจะหวงลูกสาว จนต้อง กักตัวไว้แต่ในวัง ไม่ให้เจอใครหน้าไหน เธอปลอมเป็นชายแล้วโจนขึ้นเรือไปเป็นสลัดทะเลเอาดื้อๆ เจ้าหญิงอัลวีดานี้ค่อนข้างดัง เพราะนอกจากจะสวยจัดแล้ว ยังดุขนาดได้เลื่อนขั้นเป็นกัปตันคุมลูกน้องออกปล้น ร้อนถึงเจ้าผู้ครองเมืองท่าแถวๆ นั้นต้องรวมหัว กันส่งเจ้าชายนักรบชาวเดนมาร์กคนหนึ่ง ออกมาปราบ แล้วเลยเกิดเรื่องรักหลังรบ จนอัลวีดาทิ้งอาชีพจอมโจรไปเป็นจอมใจของเจ้าชายเดนมาร์กองค์นั้นแทน
แถวทะเลจีนใต้และเอเชียตะวันออกไกลก็มีโจรชุกชุมไม่แพ้กัน ตำนานจีนโบราณพูดถึงแม่นาง เฉียวเกาฝู่เจิ้น ผู้เกรียงไกรอยู่ในทะเลจีนใต้ ราวปีที่ 600 ก่อนคริสตกาล (อาหมวยที่มีพฤติกรรม เย้ยกฎหมายเยี่ยงนี้มีหลายคน ล้วนมีกิตติศัพท์น่าเกรงขามจนน่าเชื่อว่า มีการใส่สีตีไข่เติมเข้าไป เช่น แม่นาง ชิงยี่โซว หรือ ชิงฉี ซึ่งอาละวาด อยู่ในช่วงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 19 มีเรืออยู่ในอาณัติเกือบ 2,000 ลำ ลูกน้องอีก 70,000-80,000 คน ใหญ่กว่ากองทัพเรือ บางประเทศเสียอีกหรือแม่นาง หวงเป่ยเหม่ย ผู้มีสมุนในอาณัติอยู่กว่า 50,000 ชีวิต คอยฉกทรัพย์อยู่ในทะเลจีนใต้เมื่อ 60-70 ปีก่อน โจรจีน ส่วนใหญ่ยึดเกาะไต้หวันเป็นหัวหาดบัญชาการปล้น มักจะใช้เรือใหญ่ บางลำจุคนได้ถึง 300 คน เหยื่อที่โปรดปรานคือเมืองท่าและหมู่บ้านชายฝั่ง บางทีเหิมเกริมถึงกับแล่นกองเรือเข้าไปในแม่นํ้าแยงซี เพื่อปล้นเมืองใหญ่ตามริมแม่นํ้าก็มี
ส่วนโจรญี่ปุ่น ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 16 โจรญี่ปุ่นมีชื่อเรื่องความโหดไม่แพ้พวกไวกิ้ง แถมไม่เล่นงานคนชาติเดียวกันเองเสียด้วย เน้นเรือเกาหลีเป็นหลัก จนรัฐบาลเกาหลีสมัยนั้นต้องออกมาแก้เกมด้วยการเซ็นสัญญาตกลงกับขุนนาง ญี่ปุ่นว่า จะจำกัดเรือสินค้าญี่ปุ่นให้เข้ามาในน่านนํ้าเกาหลีได้ไม่เกินปีละ 50 ลำนั่นแหละ ปัญหาเรื่องสลัดญี่ปุ่นจึงซาลงได
วิวัฒนาการสำคัญของอาชีพโจรสลัด (ฝรั่ง) เริ่มขึ้นสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 นั่นคือการเข้าซบอกนายทุน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพ่อค้าวาณิชที่ถูกปล้นบ่อยๆ นั่นแหละ นายวาณิชผู้มีวิสัยทัศน์เหล่านี้แปลงวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการลงทุนจ้างโจรไว้เป็นลูกน้องเสียเลย นอกจากจะใช้ป้องกันเรือสินค้าของตนแล้ว ยังใช้ให้ไปปล้นเรือของพ่อค้าคู่แข่งให้ล่มจมได้อีกด้วย
โจรแบบนี้เรียกว่า คอร์แซร์ (corsairs) คอร์แซร์ที่ดังและดีคือ คอร์แซร์ ฝรั่งเศส ซึ่งพุ่งเป้าไปที่เรือ อังกฤษ เพราะเป็นชาติคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ แต่หลังๆ ก็มีเลยเถิดไปถึงเรือชาติอื่นๆ ด้วย ยกเว้น เรือชาติฝรั่งเศสเท่านั้น ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มา ส่วนใหญ่ตกไปถึงมือผู้ว่าจ้าง เหล่าโจรแบ่งไว้ เล็กน้อยพอเป็นกำไร ดีออกอย่างนี้ นายจ้างย่อมซึ้งนํ้าใจ ช่วยกันล็อบบี้รัฐบาลให้ออกกฎหมายคุ้มครองเหล่าคอร์แซร์ ให้อยู่สุขสบาย มีใบอนุญาตประกอบกิจการปล้นอย่างถูกกฎหมาย เล่นเอาสลัดฝรั่งเศสสบายไปหลายชั่วอายุคน
(กฎหมายนี้เพิ่งเลิกไปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี่เอง)
คอร์แซร์ที่ดังเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่คือ คอร์แซร์มุสลิม ที่ออกล่า เหยื่ออยู่ตามชายฝั่ง แอฟริกาเหนือ เรียกรวมๆ กันว่า บาร์บารี่คอร์แซร์ เพราะชุมนุม กันอยู่ตามชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ชายแดนตะวันตก ของอียิปต์ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เรียกกันว่าชายฝั่งบาร์บารี่ (barbary Coast)
หล่งกบดานใหญ่คือ เมืองตูนิสและเมืองแอลเจียร์ นายทุนของพวกบาร์บารี่คอร์แซร์คือ ชนชั้นปกครองของตุรกี ซึ่งจะเรียกส่วนแบ่งอย่างน้อย 10% จากทรัพย์ที่ปล้นมาได้ แค่นั้นก็กำไรบาน เพราะพวกบาร์บารี่คอร์แซร์นี้ชอบปล้นเรือสเปน ที่ขนสมบัติ และทรัพยากรมาจากโลกใหม่ ปล้นทีรวยอู้ฟู่ไปหลายอาทิตย์ บาร์บารี่คอร์แซร์นาม บาร์บาโรสซ่า (Barbarossa แปลว่า อ้ายเคราแดง) มีชื่อที่สุด ด้วยนโยบายใครขวางหน้าฆ่าสถานเดียว จนชาวแอลจีเรียผู้รักสันติทนไม่ได้ ต้องจับมือกับชาติคริสเตียนอย่างฝรั่งเศสเพื่อกำจัดเสีย
เมื่อทรัพยากรของทวีปแอฟริกาเริ่มร่อยหรอลง และโคลัมบัสแกดันแล่นเรือ หลงไปเกยตื้นที่ทวีปอเมริกาเข้า สเปนเลยหันมาขนสมบัติ จากที่นั่นมาอย่างเอิกเกริก ยั่วจมูกโจรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ให้รีบชักใบไปมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลแคริบเบียนกันเป็นแถว ทำเอาทะเลเมดิเตอร์เรเนียนปลอดภัยขึ้นมาทันตาเห็น
พฤติกรรมยึดทวีปของสเปน สร้างความหมั่นไส้แกมกังวล ให้กับยุโรปชาติอื่นเป็น อันมาก เพราะกลัวว่าสเปนจะกลายเป็นมหาอำนาจ เลยเกิดอาชีพโจรสลัดหลวงขึ้น เรียกว่าพวก ไพรเวเทียร์ (Privateers) ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการ ว่าจ้างจากรัฐบาลโดยตรง ให้พิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติตน และบ่อนทำลายผลประโยชน์ของชาติศัตรู คือสเปน และอื่นๆ
ไพรเวเทียร์คนสำคัญคือ ท่าน เซอร์ฟรานซิส เดรก (Sir Francis Drake) ผู้สร้างเกียรติประวัติว่าเป็นชาวอังกฤษคนแรกที่แล่นเรือรอบโลกได้สำเร็จ นอกจากเดินเรือเก่งแล้วยังปล้นทั้งเมืองท่า ทั้งเรือสเปน ที่แล่นอยู่แถวทะเลปานามา รวมเฉพาะเรือก็ร้อยกว่าลำเข้าไปแล้ว ทักษะทั้งสองนี้ช่วยให้เดรกเป็นบุรุษผู้มั่งคั่งที่สุดของอังกฤษ และอัศวินคนโปรดของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ยุคของเดรกถือเป็นยุคทองของโจรเมืองผู้ดี แม้เป้าหมายหลักจะเป็นเรือสเปน แต่หากเรือของชาติอื่นที่มีของมีค่าน่าปล้นก็ไม่รังเกียจ แย่งส่วนแบ่งตลาดของโจรฝรั่งเศสไปได้โข จนนักประวัติ-ศาสตร์ฝรั่งเศสคนหนึ่งถึงกับบันทึกไว้อย่างหมั่นไส้ว่า
"ไม่มีใครเป็นโจรสลัด ได้ดีเท่าอังกฤษ"
>> ที่มา <<
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น