วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559
เงือก (mermaid)
เงือก เป็นอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เชื่อกันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และเดินทางว่ายข้ามข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ ซึ่งเป็นที่มาให้ผู้คนเรียกชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้)’ ซึ่งเป็นคำผสมของภาษาแองโกลและฝรั่งเศส เมื่อว่ายน้ำมาถึงคอร์นวอลล์ เงือกก็จะขยายพันธุ์ไปไกลจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ และเลยไปถึงรอบๆประเทศสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนี้ ยังอาจมีบางครั้งที่เราสามารถพบเห็นเงือกได้ตลอดแนวฝั่งยุโรปและตลอดแนวฝั่งแอตแลนติกของประเทศอังกฤษกับไอร์แลนด์ด้วย ซึ่งเหตุผลที่พบมาจากการที่เงือกชอบอากาศเย็นนั่นเอง
แต่ละประเทศก็มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของนางเงือกในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นนิทานพื้นบ้านของโรมัน จะกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่มีสงครามกรุงทรอย ได้มีเศษไม้ที่แตกมาจากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดวาย และเศษไม้เหล่านั้นก็ได้กลายสภาพมากำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เงือก นั่นเอง ส่วนชาวไอริช ก็มีตำนานเล่าว่า นางเงือก คือ หญิงสาวนอกศาสนาที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดิน ส่วนบางท้องถิ่น ก็เชื่อกันว่า แท้ที่จริงแล้วชาวเงือก ก็คือ บรรดาลูกของกษัตริย์ฟาโรห์ที่จมน้ำตายในทะเลแดงนั่นเอง
ส่วนตำนานของเทพกรีก ได้มีความเชื่อว่า ต้นตระกูลของเงือก คือ ไตรตอน ซึ่งมีบิดาชื่อว่า โพเซดอน ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมีมารดาเป็นพรายน้ำสาวตนหนึ่ง โดยหากกล่าวถึงไตรตอน ผู้คนมักจะนึกถึงไตรตอนที่มีหางเป็นปลา มีหนวดเครายาว และมีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเล ที่พักของไตรตอนอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก ไตรตอนมีอาวุธเป็นตรีศูล(ฉมวกสามง่าม) และคอยเป่าแตรหอยสังข์ เพื่อใช้ควบคุมความสงบให้แก่ท้องทะเล ด้วยเหตุนี้ ไตรตอนจึงมีอีกหนึ่งสมญานามว่า “นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล”
บางตำนานก็เล่าว่า ชาวเงือกรุ่นบุกเบิกแท้จริงแล้ว คือ โอนเนส (Oannes) ผู้เป็นเทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โอนเนสมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นปลา นอกจากนี้ เทพผู้นี้ยังถือเป็นผู้มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วย โดยโอนเนสมักจะปรากฏกายขึ้นมาจากท้องทะเลในช่วงเวลาเช้าและหายตัวไปในทะเลตอนเวลาค่ำในทุกๆวัน เมื่อเวลาผ่านไป เทพอียา(Ea) ผู้มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันกับโอนเนส ได้ขึ้นมามีบทบาทแทนที่โอนเนส จึงเชื่อถือกันว่า เทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือกนั่นเอง ส่วนเทพเจ้าอาทาร์การ์ติส (Atargartis) ก็ถือเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่เทพเจ้าหลายองค์ของชาวบาบิโลนมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลานี้ ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในทุกๆวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะขึ้นและจมหายลงไปในทะเลทุกครั้ง ดังนั้น เทพเจ้าที่เขานับถือ จึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบก และในน้ำนั่นเอง
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เงื่อนงำทั้งหมดยังคงซ่อนอยู่ และถูกสืบทอดต่อกันมาหลายๆปี ซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของเงือก ว่ากันว่ากระจกที่นางเงือกใช้สำหรับส่องนั้นถือเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลกทำให้เกิดมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ตำนานนางเงือกมีความซับซ้อนและพิศดารมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
หลังจากที่คริสตศาสนาได้เริ่มมีขึ้น ตำนานนางเงือกก็ถูกปรับเปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ศาสนาคริสต์เชื่อว่า นางเงือกสามารถมีชีวิตจิตใจและมีวิญญาณได้ หากแต่จะต้องให้คำสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป โดยไม่คิดกลับคืนสู่ใต้ทะเลอีก แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นไปไม่ได้ และสร้างความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสให้แก่เธอเป็นอย่างมาก
หนึ่งในเรื่องราวที่น่าเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับนางเงือก มีเรื่องเล่าอยู่ว่า นางเงือกได้ไปเยี่ยมนักบวชรูปหนึ่งในเกาะไอโอนา (Iona) ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะที่นางเงือกเดินทางไปอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เธอไป นางเงือกจะขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น ซึ่งนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้สัมฤทธิ์ผลแก่เธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องไม่กลับมาที่ท้องทะเลอีกตลอดไป ซึ่งแม้ว่านางเหงืออยากจะมีชีวิตและจิตใจมากเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะละทิ้งทะเลอันเป็นที่รักของเธอไปได้ สุดท้ายเรื่องราวของเธอก็จบลงอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย นางเหงือได้ออกไปจากเกาะนั้น และน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาของเธอก็ได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทาที่พบบนเกาะไอโอนา
เวลาออกทะเล ชาวประมงอาจจะเคยเห็นนางเงือกอยู่บ่อยๆ ยิ่งในช่วงเวลาที่มีคลื่นลมแรงจัดด้วยแล้ว จะยิ่งสามารถพบเห็นนางเงือกพวกนี้ได้ง่ายมากขึ้น และดูสวยงามเตะตาเป็นอย่างมากเมื่อกลุ่มเงือกโลดแล่นอยู่ในทะเลขณะที่กำลังมีคลื่นถาโถม ร่างกายสีเงินยวงของนางเงือกมองดูระยิบระยับจับตาอยู่เหนือคลื่น อีกทั้งดวงตาสีเขียวยังเปร่งประกายสุกใสในยามเมื่อพวกเงือกไถลตัวขึ้นลงตามลูกคลื่น
แม้ว่าเงือกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล แต่พวกมักก็มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองเช่นกันไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่อยู่บนบก อย่างไรก็ตาม เงือกก็สามารถพูดภาษาคนปกติบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมันได้เช่นกัน ส่วนอุปนิสัยของเงือกนั้น เป็นที่รู้กันว่า นางเงือกชอบออกมาท่องเที่ยวตามชายฝั่ง บางครั้งก็จะออกมานั่งหวีผมที่ยาวสลวยอยู่บนหากทราย หรือนั่งฟังเสียงคลื่น เสียงนกร้องบ้างก็มี
เงือกจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่มีปัญญาที่ฉลาดที่สุด อีกทั้งยังมีความว่องไวเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกมันได้ อาหารของนางเงือก ก็คือ ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นางเงือกไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตกปลาของชาวประมงเลย เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั่นแหละ ที่มักจะเข้าไปรุกรานความสงบสุขของนางเงือกอยู่เสมอ
นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เพราะนางมีความสวยและมีความลึกลับ ทำให้เกิดความน่าค้นหา นางเหงือกที่มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ จะเรียกกันว่า “สตรอเบอรีบลอนด์” อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวหรือเขียวอมฟ้ากลมโต ซึ่งเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลด้วย ส่วนผิวพรรณในส่วนที่คล้ายคนก็มีสีขาวบริสุทธ์ราวกับไข่มุก สัดส่วนองค์เอวของนางเงือกก็ดูสมส่วนพอเหมาะสวยงาม เมื่อนางเงือกลงไปอยู่ในทะเลจึงมองดูเหลือบเป็นสีเงิน
นอกจากนี้ ชาวเงือกยังมีอายุที่ยาวนาน กว่าที่นางเงือกจะโตหรือจะแก่ได้จะใช้เวลาที่ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า ทำให้ยากที่จะสามารถเดาอายุที่แท้จริงของนางเงือกได้ ด้วยเหตุนี้ นางเงือกจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน และมีช่วงเวลาของการเป็นสาวที่ยาวนานนับหลายๆปีเลยทีเดียว ส่วนนายเงือกที่เป็นชายก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นายเงือกจะมีรูปร่างบึกบึน ร่างกายปกคลุมไปด้วยขน และมีผิวสีคล้ำกว่านางเงือกที่เป็นเพศเมีย ส่วนการปรากฏตัวนายเงือกก็ดูอ่อนโยนมากกว่าบุคลิกที่มันแสดงออกมาอย่างมากเลยทีเดียว
ด้วยความที่เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่กลับมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีผลให้เป็นอมตะและสามารถล่วงรู้อนาคตได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และอิจฉาริษยาด้วย
หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือก ก็ถือเป็นเรื่องราวที่แสนซับซ้อนและยากจะเข้าใจ เพราะทั้งมนุษย์และเงือกก็ต่างประทับใจในความงามของร่างกายในแต่ละฝ่าย ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองจึงเกิดขึ้นและเกิดเป็นเรื่องเล่าต่างๆมากมาย แต่ความแตกต่างทางด้านบุคลิกและการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ความสัมพันธ์ในทุกครั้งต้องจบลงด้วยความเศร้า เพราะนางเงือกไม่อาจทนอยู่กับมนุษย์เพศชายได้นาน เธอมักจะมีนิสัยรักเสรี และคิดว่าชีวิตบนบกที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยากสำหรับเธอ อีกทั้ง นางเงือกจะไม่ยอมทำงานบ้านงานเรือน สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ ก็คือ การนั่งส่องกระจก และหวีผม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้ความรักที่ฝ่ายชายเคยมีก็จะจืดจางลงไปเรื่อยๆนั่นเอง นางเงือกจะทนไม่ได้ที่ต้องตกเป็นหัวข้อให้ชาวบ้านรวมหัวกันซุบซิบนินทาเธอ จนในที่สุด ก็ต้องหนีกลับทะเลไปเหมือนเช่นเดิม และกลับไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเงือกเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต
หากนางเงือกและมนุษย์สมสู่กัน เชื้อสายที่ออกมาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วย ทำให้บุคคลผู้นั้นสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ทำกิจกรรมอื่นๆไม่เก่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆต้องทิ้งชีวิตบนฝั่ง และกลับไปรวมกลุ่มกับสังคมเดิมๆในเวลาถัดไป
หากนางเงือกโกรธเพราะถูกขัดขวางหรือดูถูก เธอจะทำการแก้แค้นบุคคลผู้นั้นอย่างแสนโหดร้ายทารุณ ชาวประมงที่เคยได้นางเงือกเป็นเมียจึงไม่ควรออกทะเลอีกต่อไป เพราะพวกเธอจะถือว่าชีวิตคู่ที่ไปกันไม่รอดนั้น เป็นความผิดของมนุษย์ หลังจากที่เธอจากไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันจับปลาได้อีกต่อไปเลย มากไปกว่านั้น หากพวกเขายังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป ก็อาจจะพบจุดจบในชีวิตโดยการถูกทิ้งให้อยู่กลางทะเลแบบไม่มีวันกลับสู่ชายฝั่งได้อีกเลยก็เป็นได้
แต่ด้วยต้องการประโยชน์จากนางเงือก ชุมชนประมงตามชายฝั่งทะเลจึงต้องจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างตนกับนางเงือกไว้ เพราะรู้ว่านางเงือกเป็นผู้มีอำนาจในการหยั่งรู้ และสามารถทำนายอนาคตให้แก่ชาวประมงได้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ สภาพภูมิประเทศที่มีปลาชุกชุม นางเงือกก็สามารถยั่งรู้ได้ทั้งสิ้น ส่วนค่าจ้างของนางเงือกก็ไม่ได้จ่างกันเป็นเงินมอง แต่เธอจะทำงานเพื่อแลกกับหวีทองคำและกระจกทองคำเท่านั้น
ในบางครั้ง พวกเงือกจะเชื่อมโยงตนเองกับลูกของมนุษย์ โดยการสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี นางเงือกพวกนี้สามารถลงโทษใครก็ได้ที่มารบกวนให้เด็กได้รับความเจ็บไข้หรือไม่สบายในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้าม ก็มีตำนานที่เล่าว่า นางเงือก คือนางฟ้าฝ่ายอธรรมเช่นกัน เพราะพวกเธอมักจะใช้เสียงอันไพเราะเพราะพริ้งล่อลวงให้ชายหลงใหลได้ปลื้ม จากนั้นจะกล่อมจนหลับ แล้วจึงใช้ฟันอันแหลมคมฉีกเนื้อของมนุษย์ออกเป็นชิ้น ก่อนจะกินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นอย่างอิ่มอร่อย
ที่มา
วิหกเพลิง ฟีนิกส์ (Phoenix)
ในตำนานของพวกอียิปต์โบราณ ฟีนิกซ์ ถือเป็นสัตว์เทพที่ควรค่าแก่การบูชาและยกย่องนับถือ ฟีนิกซ์เป็นเทพแห่งไฟ ดังนั้นจะสังเกตได้จากลักษณะของขนนกของนกฟีนิกซ์ ซึ่งจะเปล่งประกายเป็นสีเหลืองทองคล้ายกับเปลวไฟ แต่บ้างก็ว่า ฟีนิกซ์ปกคลุมด้วยเปลวไฟทั่วทั้งตัว และด้วยความที่เป็นสัตว์เวทย์ตัวหนึ่งที่เป็นเทพแห่งไฟ บางครั้งจะอาจพบว่า ฟีนิกซ์สามารถใช้มนตร์ไฟได้
นกฟีนิกซ์มีขนาดตัวเท่ากับนกอินทรีตัวโตๆ รูปร่างสวยสง่างาม ส่วนของจงอยปากและขาจะเป็นสีทอง และมีประกายขนเป็นสีแดงถึงเหลืองทอง ฟีนิกซ์มีเสียงร้องอันแสนไพเราะเพราะพริ้ง ก้องกังวาลราวกับเสียงดนตรี บทเพลงของฟีนิกซ์ มีความสามารถในการกระตุ้นความกล้าหาญ และก่อให้เกิดความเกรงกลัวในจิตใจที่กำลังคิดร้ายได้ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยน บางครั้งก็ดูหยิ่งผยอง แต่บางครั้งก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ ตำนานบางเรื่องเล่าขานกันว่า นกฟีนิกซ์สามารถคืนชีวิตให้แก่ผู้ตายได้ โดยน้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถฟื้นพลังทั้งหมดให้กลับสู่ภาวะปกติได้อีกด้วย
เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีชีวิตเป็นอมตะนิรันดร เพราะมันสามารถฟื้นคืนชีพได้ใหม่เสมอ โดยเมื่อจากที่ฟีนิกซ์สิ้นอายุขัย (500 ปีหรือ 1461 ปี) ร่างกายของมันก็จะลุกเป็นไฟ จากนั้นลูกนกฟีนิกซ์ตัวใหม่ก็จะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง
ตำนานนกฟีนิกซ์ปรากฏอยู่ทั่วไปในอารยธรรมโบราณ โดยมนุษย์เชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุดในโลก และคาดว่าเป็นเครือญาติเดียวกันกับหงส์หรือนกยูง ฟีนิกซ์จะมีสีแดงเข้มคล้ายสีของไฟ และมีแผงคอเป็นสีทอง ผสมด้วยสีแดงและสีน้ำเงิน บางที่ก็ว่าเป็นสีม่วง หรือมี 5 สีตามความแบบความเชื่อของจีน ซึ่งสีแต่ละสีที่ปรากฎขึ้นมาน่าจะเป็นการผลัดขนหลายๆครั้งตลอดช่วงชีวิตของมันในช่วงระยะเวลา 500 ปีผ่านมานั่นเอง
วรรณกรรมกรีกโบราณที่มีชื่อว่า Account of Egypt ที่แต่งขึ้จนโดยกวีเฮโรโดตัส เมื่อประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาลเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกที่กล่าวถึงนกฟีนิกซ์ ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อนกฟีนิกซ์ใกล้จะหมดอายุขัยในช่วงอายุ 500 ปี มันจะเริ่มรู้ถึงชะตากรรมที่จะเปลี่ยนแปลงไปของตนเอง โดยจะสร้างรังกองฟืนไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมขึ้นมา แล้วนั่งคอยที่กองฟืนแห่งนั้นพร้อมร้องเพลงอย่างสบายใจ เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดเข้ามาต้องกานฟีนิกซ์ มันก็จะเผาตนเองด้วยไฟจนไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้น ฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้นมาโดยเริ่มนับอายุเป็นศูนย์ใหม่นั่นเอง จากนั้นมันก็จะต้องทำภารกิจโดยการรวบรวมเอาเถ้าถ่านของพ่อแม่ที่ดับสูญไปแล้วไปฝังที่วิหารเฮลิโอโปลิส หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ แล้วจึงสามารถบินกลับมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติได้จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนร่างอีกครั้ง
ส่วนจุดกำเนิดของตำนานนกฟีนิกซ์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหนังสือแห่งเวทมนตร์ที่ชื่อว่า Book of Dead เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงนกยักษ์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับนกฟีนิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง จากนั้นจึงเคลื่อนที่ไปยังเฮลิโอโปลิสเพื่อประกาศยุคใหม่ และด้วยความที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องจากทิศตะวันออกไปสู่ตะวันตก นกยักษ์ตัวนี้จึงปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับการต้อนรับเช้าวันใหม่ จนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง
การฟื้นคืนจากความตายโดยเกิดใหม่จากกองเถ้าถ่านของตัวเอง ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินทั้งหลายทั้งนักกวีและนักเขียนได้นำเอาเรื่องราวเช่นนี้ไปเผยแพร่ต่อ จนในที่สุด เรื่องราวของนกฟีนิกซ์ก็แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมหรือนิยายหลายต่อหลายเรื่องจนดูสมจริงและน่าเชื่อถือ
อีกหนึ่งเรื่องเล่าของนกฟีนิกซ์ที่สอดคล้องกับอดีตกาลของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือที่ใครเรียกกันว่า เทพอพอลโล มีเรื่องเล่าว่า เทพอพอลโลได้เห็นถึงความสวยงามของนกฟีนิกซ์ และต้องการให้มาเป็นนกข้างกายของพระองค์ พร้อมกับได้มอบพรวิเศษที่เป็นอมตะตอบแทนการเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ภักดีต่อพระองค์ ซึ่งเมื่อนกฟีนิกซ์ได้พรวิเศษดังกล่าวแล้ว ก็สุดแสนจะยินดี มันจึงก้มศีรษะเพื่อแสดงการคารวะ และเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงเพื่อสรรเสริญในการได้รับรางวัลครั้งนี้ เนื้อเพลง คือ “สุริยเทพผู้รุ่งโรจน์ สุริยเทพผู้สง่างาม ข้าจะเป็นประหนึ่งในผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่าน และเป็นนกฟีนิกซ์แห่งสุริยเทพแต่เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์” นอกจากนี้ นกฟีนิกซ์จะคอยขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในช่วงเวลาเช้าตรู่ของทุกวัน พร้อมกับบินไปทางตะวันออกเพื่อเปล่งเสียงสรรเสริญด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี นกฟีนิกซ์ก็เแก่ตัวลงเรื่อยๆ จนไม่มีแรงพอที่จะขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าได้อีกต่อไป นกฟีนิกซ์จึงได้ร้องขอกับเทพแห่งดวงอาทิตย์ว่าให้ช่วยคืนความหนุ่มและความแข็งแรงกลับมาเป็นของตนอีกครั้ง แต่เหมือนว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะไม่ได้ตอบรับอะไรแก่นกฟีนิกซ์ เจ้านกฟีนิกซ์จึงต้องบินกลับรังไปเช่นเดิม ระหว่างทาง นกฟีนิกซ์ได้พบกับไม้หอมนานาชนิด จึงได้เก็บเอาไว้เพื่อที่จะได้นำมาสร้างรังบนยอดต้นปาล์ม หลังจากนั้นก็ขอร้องความเป็นหนุ่มและความความแข็งแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง ในครั้งนี้ คำร้องขอของนกฟีนิกซ์ก็สัมฤทธิ์ผล เพราะต่อจากนั้นไม่นาน ก็เกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาบนรังของนกฟีนิกซ์ ทำให้ทั้งรังและนกฟีนิกซ์ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นก็ทำให้นกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงขับกล่อมบทเพลงที่ดังกังวาลเพื่อสรรเสริญแก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อีกครั้ง และในทุกๆ 500 ปีที่ล่วงเลยผ่านไป นกนกฟีนิกซ์ก็จะบินกลับมาที่เดิม เพื่อรอคอยให้สุริยเทพเผาตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายให้กลับมาเป็นนกหนุ่มตัวใหม่ที่แข็งแรงอีกครั้ง
ตำนานกรีกยังมีเรื่องเล่าเพิ่มเติมอีกด้วยว่า นกฟีนิกซ์จะพักพิงอยู่ในแถบอาระเบีย โดยจะมีชีวิตอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น และในทุกๆเช้าที่พระอาทิตย์เริ่มส่องแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ก็จะต้องหยุดรถม้า เพื่อรอฟังการขับกล่อมเสียงเพลงอันแสนไพเราะของนกฟีนิกซ์ ในช่วงเวลาที่มันลงไปเล่นน้ำในทุกวัน นกฟีนิกซ์มีชีวิตที่แสนศิวิไลซ์ อาหารสุดโปรดของนกฟีนิกซ์จึงเป็น สายลมเบาๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือเมฆหมอกบริสุทธิ์ ที่ล่องลอยขึ้นมาเหนือแม่น้ำและท้องทะเล
ส่วนคุณลักษณะพิเศษของนกฟีนิกซ์ถือเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสัตว์ตัวไหนๆ ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวหรือปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับตัวดิริคอว์ล เพลงที่นกฟีนิกซ์ขับร้องออกมาก็มีเวทมนตร์ที่กระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ในมนุษย์ และก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจสำหรับบุคคลที่กำลังคิดร้ายอยู่ หากใครมีบาดแผลหรือสิ้นใจ ก็สามารถใช้น้ำตาของนกฟีนิกซ์เป็นยาในการรักษาบาดแผล และช่วยชุบชีวิตให้บุคคลผู้นั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้านกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้ใครก็ได้ในทุกคน บุคคลที่นกฟีนิกซ์จะหลั่งน้ำตาให้จะต้องมีคุณงามความดีมากพอที่จะมีสิทธิในการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ด้วยวงจรชีวิตที่เกิดและตายใหม่ได้ทุกครั้ง ทำให้ตำนานของกรีกและโรมันเชื่อกันว่า นกฟีนิกซ์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชีวิตเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ทำให้ในช่วงต้นของคริสต์ศาสนา ได้มีการสลักรูปนกฟีนิกซ์ออกมาเป็นลวดลายบนหิน เพื่อใช้ปิดบนหลุมฝังศพ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ มีความหมายว่า เป็นผู้ที่จากไปและจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งนั่นเอง
ไม่เพียงแค่ตำนานเท่านั้น แต่เรื่องราวความเป็นอมตะของฟีนิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนหลายเรื่อง อย่างเช่น การ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ฮิโนโทริ วิหคเพลิง” ที่แต่งขึ้นโดย เท็ตซึกะ โอซามุ การ์ตูนเรื่องนี้แฝงเอาไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิต ที่ได้รับคำชื่นชมจากผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่มากที่สุด เนื้อหาที่บอกเล่าก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำบอกเล่าที่กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิง จะทำให้มีชีวิตเป็นอมตะไม่มีวันตาย และเพราะความกระหายอยากได้ของมนุษย์ ทำให้เป็นต้นเหตุของการเกิดสงครามล้างแผ่นดินขึ้นมานั่นเอง ซึ่งเนื้อเรื่องได้บอกเล่าถึงการเกิดและตายของนกฟีนิกซ์ เช่นเดียวกับที่เราเคยได้ยินตำนานในฝั่งตะวันตก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการแฝงปรัชญาแห่งชีวิตเอาไว้อีกมากมายด้วย ตัวอย่างตอนหนึ่งของเรื่องเป็นตอนที่ นาคีซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ได้เอ่ยปากถามนกฟีนิกซ์ว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่มีวันตาย ในขณะที่พวกเราที่เป็นมนุษย์ต้องตายทุกคน ทำไมถึงอยุติธรรมจริงๆเลย” “อยุติธรรมเหรอ? พวกเจ้าต้องการอะไรในชีวิตบ้าง ระหว่าง อำนาจก็การจะไม่ตาย หรือความสุขที่ได้ใช้ชีวิต” วิหคเพลิงพูด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เจ้าก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ ที่ไม่มีวันตาย” นาคีว่า “นาคี เจ้าลองดูที่เท้าตัวเองสิ มีแมลงติดอยู่ พวกมันมีชีวิตสั้นเพียงแค่ครึ่งปี หากเป็นแมงเม่ายิ่งมีชีวิตสั้นเข้าไปใหญ่ เพราะพวกมันจะตายภายใน 3 วันเท่านั้น มนุษย์จึงถือว่ามีชีวิตที่ยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมว หรือลิงตั้งหลายปี ตลอดช่วงชีวิตเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะได้พบกับความยินดีในการมีชีวิต ซึ่งนั่นก็คือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ?” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ
แม้ว่าความเป็นจริงแล้ว “ฟีนิกซ์” จะเป็นเพียงนกในตำนาน แต่ก็ถือเป็นตำนานที่แสนยิ่งใหญ่ที่ใครๆก็รู้จักและถูกเล่าขานกันจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกแสนนาน โดยเฉพาะเรื่องของการเสียสละ ที่ยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อจะได้มีชีวิตใหม่ในวันต่อไป
ที่มา
สฟิงซ์ (Sphinx)
สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นสัตว์ลูกผสมของสัตว์หลายๆชนิดที่รวมร่างอยู่ในตัวเดียวกัน สฟิงซ์แยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ทำให้เป็นการเพิ่มเติมสีสันและทำให้สฟิงซ์ดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
สฟิงซ์ของกรีก
ตามความเชื่อกรีก สฟิงซ์เป็นหนึ่งในบรรดาลูกของอีคิดนาและไทฟอน ซึ่งสฟิงซ์มีลักษณะใบหน้าและอวัยวะส่วนบนเป็นหญิงสาว ส่วนท่อนล่างมีลักษณะเป็นสิงโตที่มีปีกคล้ายนกอินทรี ส่วนลักษณะนิสัยของสฟิงซ์นั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะมันมักจะชอบทรยศผู้อื่น ก้าวร้าว กระหายเลือด และกินคนเป็นอาหาร
นอกจากนี้ สฟิงซ์ยังมีอีกลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ลักษณะนิสัยคล้ายแมว หรือ คล้ายผู้หญิงด้วย กล่าวคือ มันจะหลอกล่อเหยื่อโดยการเข้าไปพูดคุยหยอกล้อเสียก่อน เมื่อเหยื่อเผลอจึงจะกินเหยื่อเข้าไป อย่างไรก็ตาม หากเหยื่อสามารถหนีรอดไปได้ สฟิงซ์จะทำโทษตัวเองโดยการทิ้งดิ่งกระแทกตัวลงพื้นหรือพุ่งชนอะไรสักอย่าง จนสิ้นใจตายไปในที่สุด
นอกจากนี้ ปกติแล้วสฟิงซ์จะไม่เข้าทำร้ายเหยื่อในทันทีทันใด แต่จะเปิดโอกาสให้เหยื่อได้แสดงสติปัญญาด้วยการตอบคำถามเสียก่อน หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ปัญหาของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx)’ ซึ่งหากเหยื่อตอบถูก เหยื่อก็จะได้รับอิสระ
ครั้งหนึ่งมี เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ ได้ผ่านมาที่เมืองธีบีสพอดี สฟิงซ์จึงกระโดดออกมาขวางหน้า ก่อนส่งเสียงคำรามเพื่อข่มขู่เหยื่อให้เกรงกลัวขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นจึงถามปัญหาแก่เอดิปุสว่า “อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า แต่เดินสองตีนในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? ” เอดิปุสตอบคำถามได้อย่างทันทีอย่างไม่ลังเลว่า คือ มนุษย์นั่นเอง เพราะมนุษย์ย่อมเริ่มต้นจากการคลานด้วยมือและเข่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จากนั้นก็พัฒนามาเป็นการยืนด้วยขาเมื่อเขาโตเต็มที่ และสุดท้ายก็ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองเป็นขาที่สามเมื่อถึงช่วงเวลาสายัณห์ของชีวิต” เมือสฟิงซ์ได้ฟังคำตอบ ก็กรีดร้องด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ผู้ไหนเลยตอบคำถามนี้ได้ถูก นางจึงบินโผขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และทิ้งตัวดิ่งลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย
หากพูดถึงสฟิงซ์ของกรีก มีเรื่องราวอันแสนโด่งดังเรื่องหนึ่ง คือ “เจ้าแม่เฮรา (Hera)” ซึ่งเจ้าแม่ได้ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เนื่องจากความเมาไร้สติสัมปะชัญญะของพวกเขา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ไดโอนิซุส ผู้เป็นเทพแห่งสุราเมรัยได้เข้ามาสอนวิธีการทำไวน์ให้แก่ประชากรในเมืองนี้
สฟิงซ์ของอียิปต์
มหาสฟิงซ์ และ พีระมิดคาเฟรในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า
พันธุ์ของสฟิงซ์ในอียิปต์ เราจะเรียกกันว่า ‘แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)’ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับสิงโต โดยส่วนหัวจะเหมือนมนุษย์ และมีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ ได้แก่ เคราที่คาง งูจงอางแผ่แม่เบี้ยตรงหน้าผาก และมีเครื่องประดับรัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน
สฟิงซ์ เป็นรูปเหมือนขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าขนาดจริงของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ ถึงสองเท่า และช่วงที่แปลงร่างเป็นสิงโตจะมีศีรษะเป็นฟาโรห์อียิปต์ หรือที่เรียกกันว่า “sphingein (การบีบรัด)” นั่นเอง
อียิปต์มีรูปสลักสฟิงซ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ก็คือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร หนึ่งในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex) ที่แสนโงดังนั่นเอง
สฟิงซ์ของตะวันออกกลาง
ทางตะวันออกกลาง เชื่อว่า สฟิงซ์เป็นสัตว์แสนฉลาด เนื่องจากมันจะไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้ใด และพอใจที่จะนอนกลางแดดอย่างมีความสุข ให้ผู้คนมาเคารพบูชาเทิดทูนมัน
นอกจากนี้ ยังมีสฟิงซ์แบบอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสฟิงซ์พวกนี้แตกออกมาจากสฟิงซ์ของอียิปต์ เช่น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะหรือเหยี่ยว ส่วนในประเทศเปอร์เซีย (Persia) , แอสซีเรีย (Assyria) , และฟีเนียเซีย (Phoenicia) นั้นปรากฏว่ามีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ โดยหากเป็นตัวผู้จะมีหนวดและมีผมหยักศก แต่หากเป็นโรมโบราณสฟิงซ์จะเป็นเพศหญิง โดยสฟิงซ์ตัวนี้จะสวมงูแอสพ์ (Asp) คาดไว้บนหน้าผากด้วย ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นแบบที่ส่งมาจากอียิปต์ก็เป็นได้
ที่มา
นารีผล หรือมักกะลีผล
นารีผล มักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชแสนวิเศษที่มีรูปร่างเป็นหญิงงาม และพบได้ตามป่าหิมพานต์ เชื่อกันว่า นารีผลจะมีขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ รูปร่างของผลสดจะสวยงามคล้ายผู้หญิงที่มีหุ่นดี และมีผิวพรรณสวยงาม
ความเชื่อตามตำนานเล่าว่า เมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่ผ่านมา ในครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี และบุตรอีก ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ได้ถูกขับไล่ออพจากพระนคร พวกเขาได้เดินทางเข้ามาสู่ป่าหิมพานต์ และต่างพยายามบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เชื่อกันว่า ในป่าหิมพานต์มีสัตว์ป่าร้ายกาจอยู่นับไม่ถ้วน แต่ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลายต่างได้รับความเมตตาจากพระเวสสันดรด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้สัตว์ป่าเหล่านั้นกลายเป็นมิตรและคลายความดุร้ายลง ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นที่นอกเหนือจากสัตว์ป่า อย่างพวกดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร หรือคนธรรพ์ ก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ ตามปกติทั่วไป
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระนางมัทรีผู้มีรูปโฉมงดงาม ได้ออกหาอาหารตามลำพังเพื่อประทังชีวิต พระนางก็ได้ไปปรากฎกายให้พวกนักสิทธิ์ วิทยาธร รวมถึงฤๅษีได้มาพบเจอ จนในที่สุด ผู้ทรงศีลทั้งหลายก็ตบะแตกเพราะความงามของนาง
พระอินทร์ ซึ่งจำแลงกายมาเป็นท้าวสักกะเทวราช เริ่มมองเห็นถึงลางร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงพยายามหาวิธีปองกันโดยทำการเนรมิตต้นไม้วิเศษขึ้นมา ๑๖ ต้น ก่อนจะทรงวางไว้รอบทิศก่อนจะถึงดินแดนอันเป็นที่อาศัยของพระเวสสันดรและนางมัทรี ต้นไม้วิเศษนี้ออกผลออกมาแปลกประหลาดกว่าต้นไม้โดยทั่วไป เพราะผลของมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์สตรี และเมื่อผลสุกเต็มที่ ก็จะมีรูปร่างสวยงามราวกับสาวงามแรกรุ่น และมีผิวพรรณหรือหน้าตาที่สวยงามปานเทพธิดาลงมาจุติ
ซึ่งต่างก็เชื่อว่า แต่ละผลก็คือเทพธิดาหนึ่งนาง หรือเมื่อใดที่ต้นนารีผลออกดอกออกมา ก็เปรียบเหมือนเกิดเป็นวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้น ซึ่งความสวยงามของผลนารีผลแต่ละผลจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่บุญกรรมของเทพธิดาแต่ละนาง และเทพธิดาที่ลงไปจุติที่นารีผล ก็ล้วนไปตามชะตากรรมของตนเอง
ด้วยความงดงามของต้นนารีผล จึงส่งผลให้เหล่านักสิทธิ์และวิทยาธรตบะแตกได้ หากจิตใจของพวกเขายังไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งก็มีบางรายที่ได้เสพบำเรอกับนารีผล จนเมื่อตบะแตกก็ทำให้ฤทธิ์ที่มีเสื่อมลง ไม่สามารถเหาะต่อไปได้ ทำให้หมดโอกาสที่จะได้พบกับพระนางมัทรีอีก หากต้องการจะเดินทางต่อไป ก็จำเป็นจะต้องบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งต้นนารีผลนี้จึงสามาถป้องกันไม่ให้ใครคนไหนเข้าล่วงศีลกับพระนางมัทรีได้เลย
แม้ว่าภายหลังที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรีจะเสด็จเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผลที่เคยมีก็ยังคงอยู่ที่เดิมไปตลอด และยังคงมีดอกหอมกรุ่นอยู่บนต้น แม้ว่านารีผลจะหมดอายุขัย เหี่ยวเฉา และร่วงหล่นไปบางแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฎเป็นลูกใหม่ขึ้นมาแทนที่อย่างต่อเนื่อง
ต้นนารีผลสามารถใช้เป้นที่ทดสอบจิตใจของฤาษีได้ ว่ากันว่า ฤๅษีบางตนที่บำเพ็ญเพียรจนตบะแก่กล้า และไร้กิเลส จะเดินทางมาที่ต้นนารีผลเพื่อทดสอบจิตตน โดยพวกเขาจะเหาะมาที่ต้นนารีผล และจ้องมองผลนารีเหล่านั้น เพื่อดูว่าตนจะอดทนได้หรือไม่ หรือบางครั้งก็อาจอาจารย์ฤๅษีพาลูกศิษย์มาทดสอบระดับจิต ซึ่งก็สามารถใช้ต้นนารีผลเป็นเครื่องมือในการฝึกควบคุมจิตได้เช่นกัน แต่ก็มีพวกนักสิทธิ์วิทยาธร ที่มักจะเหาะมาเพื่อเก็บนารีผลกลับไปเชยชม แล้วค่อยฝึกจิตใหม่ภายหลังก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
นารีผล จึงกลายเป็นที่โปรดปรานของสัตว์วิเศษรวมถึงวิทยาธรทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น ทำให้นารีผลส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะแห้งตายคาต้น เพราะก่อนที่จะหมดอายุขัยของมันก็มักจะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร มาเก็บเอาไปเชยชมเสียก่อนแล้ว
กล่าวถึงเรื่องราวในอรรถกถาที่เกี่ยวข้องกับนารีผลตอนหนึ่งว่า
เมื่ออดีตกาล ในครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตขึ้นครองราชย์ปกครองพระนครพาราณสี ได้มีพระโพธิสัตว์มาบังเกิดในตระกูลของพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เมื่อพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้นก็ได้ร่ำเรียนสรรพศิลปศาสตร์ ก่อนจะบวชเป็นฤๅษี โดยมีมูลผลาผลในป่าไว้ยังชีพ
ครั้งหนึ่ง เกิดมีแม่เนื้อตัวหนึ่งไปมาเคี้ยวกินหญ้าในสถานที่ที่พระดาบสปัสสาวะ ทำให้หญ้านั้นเจือปนไปด้วยน้ำเชื้อ ซึ่งยังผลให้แม่เนื้อเกิดมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส และตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้นับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่เนื้อตัวนี้ก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่างจากอาศรมไปไหนเลย ไม่นานต่อมา แม่เนื้อก็ได้คลอดบุตรออกมาเป็นมนุษย์ ซึ่งพระมหาสัตว์ก็ทรงรู้เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงได้ทรงรับเลี้ยงทารกผู้นั้นเอาไว้ด้วยความรักใคร่ในฐานะที่เป็นบุตรของตน พร้อมตั้งนามว่า อิสิสิงคกุมาร
เวลาผ่านไป เมื่ออิสิสิงคกุมารเติบใหญ่ขึ้น พระมหาสัตว์จึงทรงบวชในบุตรชาย และได้พาดาบสกุมารไปพบนารีวัน (ป่านารีผล) พร้อมสอนบุตรของตนว่า ลูกรัก เหล่าสตรีก็เป็นเหมือนเช่นกับดอกไม้ที่มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีทั้งหมดย่อมมีผลทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจเกิดความพินาศฉิบหายอย่างใหญ่หลวงได้ เจ้านั้นไม่ควรที่จะไปหลงอำนาจของสตรีพวกนี้ จากนั้น ก็ทำกาลกิริยา เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่เบื้องหน้า ส่วนอิสิสิงคดาบส ก็ประลองฌานกีฬาอยู่ในหิมวันตประเทศ จนได้เป็นผู้มีตบะแรงกล้า
ครั้งหนึ่ง เมื่อพิภพของท้าวสักกเทวราชสั่นครอนด้วยพระเดชของพระดาบส ท้าวสักกเทวราชได้ทรงใคร่ครวญ และเห็นว่า พระดาบสผู้นี้น่าจะเป็นบุคคลที่ทำให้ท่านหลุดจากการเป็นท้าวสักกะได้ จึงต้องการทำลายศีลของพระดาบส โดยการส่งนางอัปสรคนหนึ่งให้ไป เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วว่า เหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งทั่วทั้งหมด คงจะมีแต่นางอัสสรที่มีนามว่า อลัมพุสา เพียงผู้เดียวที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสให้แตกได้
ซึ่งสิ่งที่ท้าวสักกเทวราชคาดการณ์เอาไว้ก็บังเกิดความสำเร็จ เมื่อนางอลัมพุสาเทพอัปสรได้เข้าไปปรากฎตัวให้อิสิสิงคดาบสได้เห็น ซึ่งในขณะที่อิสิสิงคดาบสได้ประกอบความเพียรในตอนกลางคืนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไปสรงน้ำและทำอุทกกิจเสร็จ จากนั้นจึงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลา ก่อนจะออกมากวาดโรงไฟ แต่เมื่อเห็นนางอลัมพุสาเทพอัปสรมาเผยโฉมความงามอยู่เบื้องหน้าของพระอิสิสิงคดาบส และแสดงมารยาหญิงอันทรงเสน่ห์ ก็ทำให้พระดาบสหนุ่มลุ่มหลง และถูกทำลายศีลในที่สุด
เวตาล
เวตาล เป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวผี ตามความเชื่อในนิทานปรัมปราของศาสนาฮินดู กล่าวกันว่า ในตอนกลางวัน เวตาลจะมีชีวิตอยู่ในซากศพของผู้อื่น และศพเหล่านี้จะถูกเวตาลใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง หากเวตาลเข้าไปอาศัยร่างของศพใด ซากศพนั้นก็จะไม่เน่าเหม็น ส่วนตอนกลางคืน เวตาลจะออกมาจากศพเพื่อออกหากิน แต่หากค้นหาความหมายของคำว่า เวตาล ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 จะพบความหมายว่า เวตาล คือ ผีที่ชอบสิงสถิตอยู่ในป่าช้า
ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าตามตำนานว่า เวตาลเป็นผีร้ายที่ไม่ยอมไปเกิด แต่ยังคงอาศัยอยู่ตามสุสาน เพื่อเข้าสิงร่างซากศพในบริเวณนั้น เวตาลชอบที่จะทำร้ายมนุษย์ที่เข้าไปรบกวน ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนบ้า ฆ่าเด็ก และทำแท้งลูก ส่วนเหยื่อที่เวตาลเข้าสิงจะมีมือและเท้าหันกลับด้านไปข้างหลังเสมอ ส่วนข้อดีที่มีเพียงน้อยนิด ก็คือ เวตาลสามารถช่วยเฝ้าดูแลหมู่บ้านของมันได้
เนื่องด้วยความร้ายกาจของเวตาล เวตาลจึงมักคอยทำร้ายบุคคลที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้ ทำให้พวกเขาถูกกักขังอยู่ในแดนสนธยาทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เวตาลอาจได้รับครื่องเซ่นเป็นอามิส หรือถูกบังคับให้ตื่นตกใจด้วยเวทมนตร์ ปีศาจเหล่านี้จะพ้นจากความเป็นปิศาจได้ก็ต่อเมื่อมีการทำพิธีศพให้แก่ตนเอง แต่หากกลายร่างเป็นปิศาจแล้ว ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎของกาลเวลาและเทศะได้
เวตาลจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการรับรู้ถึงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้ อีกทั้งยังสามารถหยั่งรู้ถึงใจตนเองได้ ด้วยความสามารถดังกล่าว จึงทำให้หมอผีหลายคนต้องการตัวเวตาล เพื่อบังคับเอาไว้ใช้เป็นทาสได้
มีตำนานหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เคยมีหมอผีทูลบอกให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ออกไปตามล่าเวตาล ที่อาศัยอยู่ที่ใจกลางของสุสานบนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยจับเวตาลได้ ก็คือ ต้องไม่ทำเสียงดังทำ และห้ามเผลอพูดคำใดออกมา ไม่เช่นนั้น เวตาลจะไม่ยอมให้จับและหนีกลับไป
ครั้นเมื่อพระเจ้าวิกรมาทิตย์สามารถจับตัวเวตาลได้ ก็มักถูกเวตาลแกล้งเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งทุกครั้งนิทานจะจบลงด้วยคำถาม ที่ทำให้ต้องตอบคำถามนั้นทุกครั้งไป จนพระองค์ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถจับเวตาลได้ และมันก็กลับไปยังต้นไม้ต้นเดิม
เรื่องราวทั้งหมดของเวตาลถูกนักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่มีนามว่า โสมเทวะ รวบรวมไว้ในหนังสือกถาสริตสาคร ที่เรียกว่า “เวตาลปัญจวิงศติ” (เป็นนิทานของเวตาลที่มีจำนวนเรื่อง 25 เรื่อง)
ผีปอบ ภูติร้ายจอมตะกละ
“ผีปอบ” กำเนิดมาจากการที่ผู้มีวิชาทางไสยศาสตร์และมีมนต์ดำแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันแสนขลังจากเวทมนตร์คาถาเพื่อสั่งไปทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำเสน่ห์ยาแฝด การฝังรูปฝังรอย การเสกหนังควายเข้าท้อง การเสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณหรือภูตผีไปเข้าสิง
พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าวิชาทางไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเดียรฉาน ทำให้ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์จะต้องมีข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดในข้อห้ามหรือข้อปฏิบัตินั้นๆโดยเด็ดขาด หากเมื่อใดที่มีการกระทำผิดตามข้อห้ามที่ระบุไว้ ชาวอีสานจะเรียกว่า “คะลำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษหนักในข้อ “ผิดครู” ตามมา
วิญญาณของบรมครูจะลงโทษคนทำผิดโดยการสั่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ การเล่นคาถาอาคมอย่างหนัก และใช้ความขลังแห่งวิชามนต์ดำไปทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป รวมไปถึงการกระทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ จนกระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง จนทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นปอบไปในที่สุด
ประเภทของผีปอบ
ปอบสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังต่อไปนี้
1. “ปอบธรรมดา” หมายถึง คนที่มีร่างของปอบสิงอยู่ เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ในคนพวกนั้นก็จะ ตายตามไปด้วย
2. “ปอบเชื้อ” หมายถึง ครอบครัวใดที่มีพ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะต้องสืบทอดเชื้อสายการ เป็นปอบต่อไปด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสืบต่อทางกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ก็จำเป็นต้องเป็นปอบต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีวันรู้จบ
3. “ปอบแลกหน้า” หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ที่ถนัดเอาความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาที่ปอบชนิดนี้เข้าไปสิงใคร เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบจะไม่ยอมบอกความจริง แต่จะไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อไม่ทราบเรื่องราวอะไรเลย
4. ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึง ปอบที่ไม่ยอมพูดจาจนกว่าจะมีคนถาม หรือจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ ปอบตัวนั้นจึงจะยอมเปิดปากพูดความจริงว่าตนเป็นปอบของใคร หรือมีใครใช้ให้มา เข้าสิง
ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง
ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง หรือที่ชาวอีสานมักเรียกกันว่า “ปอบเข้า” จะมีอาการแตกต่างกันไปต่างๆนานา บางคนอาจแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนอาจจะนอนซมคล้ายคนป่วยไข้อย่างหนัก ในขณะที่บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานา
โดยมากผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะร้องเรียกหาอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็น พวกตับหมูตับไก่ต้ม และเวลากินอาหารก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติของมนุษย์ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยผู้นั้นถูกปอบเข้าสิง ก็มักจะไปตามหมอผีให้ช่วยมาขับไล่ผีปอบให้ออกจากคนป่วยผู้นั้น
วิธีการไล่ปอบให้ออกจากร่างมนุษย์ มีอยู่หลายวิธีตามแต่แนวทางที่หมอผีผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางคนอาจจะเอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยผู้นั้นสำลักควันน้ำตาไหลพาก และเมื่อปอบออกจากร่างผู้ป่วยไปได้แล้ว หมอผีก็จะทำการข่มขู่ โดยการสอบถามว่าผีปอบตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อผีปอบรับสารภาพ หมอผีก็จะใจดีปล่อยปอบตัวนั้นไป
ผู้ป่วยที่ผีปอบออกจากร่างไปแล้ว ก็จะค่อยๆได้สติในภายหลัง เมื่อฟื้นขึ้นมานัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกรมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับจะมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือด จนไม่อาจสู้หน้าใครได้ และต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครพบหน้า
หมอผีทั่วไปมักนิยมไล่ผีปอบโดยการใช้หวายเพื่อเฆี่ยนไล่ปอบ แต่การเฆี่ยนไล่ปอบก็เท่ากับการเฆี่ยนตีคนป่วยคนนั้นไปด้วย และหากปอบตัวไหนขัดขืน หมอผีก็จะต้องเฆี่ยนตีหนักขึ้น จนกระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย แต่เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายที่เคยมีก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่การผีปอบแบบนี้เคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยผู้นั้นไม่ได้ถูกปอบเข้าสิงจริง แต่กลับป่วยเป็นโรคประสาทต่างหาก เมื่อญาติคิดว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะปอบเข้าสิง จึงไปตามหมอผีให้มาไล่ หมอผีจึงจัดการเฆี่ยนตีคนป่วยด้วยหวายจนได้รับความบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน จนในที่สุด คนป่วยก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตจากความบาดเจ็บ เรื่องนี้ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย ส่วนหมอผีก็ต้องคิดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ
อีกหนึ่งวิธีที่หมอผีนิยมใช้ขับไล่ปอบ ก็คือการนำเอาสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวมาข่มขู่ปอบ ตัวอย่างสัตว์ เช่น คางคก ตุ๊กแก งู เป็นต้น สำหรับกรณีนี้มักใช้กับคนที่ถูกปอบเพศหญิงเข้าสิง เพราะเมื่อผีปอบเหล่านี้โดนข่มขู่ด้วยสัตว์ ก็จะเกิดอาการขยะแขยง และยอมออกจากร่างที่เข้าสิงไปอย่างง่ายดาย
ส่วนผีปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้า เวลาที่เข้าสิงใครจะไม่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย การไล่ผีปอบจะพบข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมปูดนูนขึ้นที่ใต้ผิวหนัง เวลาที่หมอผีจี้ก้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก ปอบที่แก่กล้าจะทำให้ก้อนกลมนี้จะเลื่อนหนีไปได้ และจะเป็นการลวงหมอผีว่าวิญญาณของปอบออกจากร่างบุคคลนั้นไปแล้ว ทั้งที่จริงยังคงอยู่ โดยมากปอบมักจะเลื่อนก้อนกลมหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หมอผีหาไม่พบ
แต่สำหรับหมอผีรุ่นครูจะมีวิธีพิเศษที่จะช่วยขับไล่ปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้าให้ออกไปได้ โดยหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมมัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นจึงใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆใต้ผิวหนัง เมื่อก้อนกลมนี้หนีไปที่ใด ก็จะตามจี้ติดไปไม่ยอมปล่อย และเมื่อปอบถูกไพลเสกจี้ หรือที่ทางอีสานเรียกว่า “แทง” ปอบจะร้องโอดครวญดังลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส หมอผีจะขู่บังคับให้ปอบบอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดีหลังจากที่โดนทรมานจนหวาดกลัวและเข็ดหลาบไปแล้ว หลังจากนั้น หมอผีจะแก้มัดปอบด้วยด้ายสายสิญจน์ แล้วปล่อยให้ปอบออกไป
หมอผีบางรายอาจมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด เพื่อทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนา มาครอบศีรษะของคนที่ถูกปอบสิง จากนั้นจะใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟคล้ายๆกับการโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ แล้วจึงปล่อยให้ปอบออกจากร่างไป วิธีการไล่ปอบเช่นนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบ หรือผู้ที่เลี้ยงปอบเอาไว้เส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ ทำให้ไม่กล้าหนีออกจากห้องไปไหน และต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรืออาจต้องใช้ผ้าปกคลุมปิดศีรษะตลอดเวลา
ผีกระหัง คนกระด้งเหาะ
กระหัง เป็นผีที่มีลักษณะเป็นผู้ชาย โดยตามความเชื่อพื้นบ้านมักกล่าวกันว่า กระหังเป็นผีที่มีอุปนิสัยคล้ายกับกระสือ สามารถบินได้ โดยใช้กระด้งฝัดข้าวเป็นอุปกรณ์ในการโผบิน กระหังจะนั่งบนสากตำข้าวควบคู่กัน ตามความเชื่อพบว่า การจะเป็นกระหังได้นั้น สามารถเป็นได้ไม่ยาก เนื่องจากการเป็นกระหังเกิดจากการผิดครู คือการผิดคำสัญญากับครูอาจารย์ทางเวทมนตร์ ยกตัวอย่างเช่น การผิดคำต้องห้ามในการกินอาหารที่เป็นบวบ การเดินลอดสะพาน เป็นต้น
ที่มา
ผีกระสือ นักล่ายามรัตติกาล
กระสือ เป็นผีที่สิงสู่อยู่ในคนเพศหญิง โดยมากมักจะพบกระสือที่สิงร่างของยายแก่ อุปนิสัยอันโดดเด่นของกระสือก็คือการชอบรับประทานของสดคาว และเที่ยวออกหากินในเวลากลางคืน โดยเวลาออกหากินจะออกไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายจะทิ้งไว้ที่บ้าน บุคคลอื่นๆมักจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตที่มีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆเวลาที่กระสือออกหากินเสมอ
หากหญิงคนไหนเพิ่งคลอดลูกใหม่ ผีกระสือจะมาหากลิ่นคาวสดของเลือด และเข้าสิงร่างเพื่อกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก รวมถึงทำร้ายเด็กทารกคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงบริเวณที่มีร่องมีรูเพื่อป้องกันกระสือ และเชื่อกันว่ากระสือจะกลัวหนามเกี่ยวไส้ของตนขาดจนไม่กล้าเข้ามา
อาหารสุดโปรดของกระสืออีกชนิดหนึ่งก็คือ ของโสโครก เช่น อุจจาระ เป็นต้น หากกระสือรับประทานเข้าไปแล้ว ก็จะเข้าไปเช็ดปากตามผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งข้ามคืนไว้ ทำให้ผ้านั้นปรากฏเป็นรอยเปื้อนเป็นดวง ๆ หากใครได้เอาผ้านั้นไปต้ม กระสือก็จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากเป็นอย่างมาก จนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป
กระสือเป็นผีที่ตายยาก ก่อนตายจะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ก่อน เพื่อจะได้เป็นกระสือสืบทายาทตัวต่อไป เมื่อตนจะตายจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอีกต่อไป
วิธีในการปราบกระสือนั้นเป็นการยากมากที่จะไล่ผีที่มาสิงออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณผีกระสือจะหยั่งรากลึกลงในใจของคน ๆ นั้น ดังนั้น หากต้องการปราบกระสือก็จำเป็นจะต้องฆ่าคน ๆ นั้นให้ตายไปพร้อมๆกับวิญญาณด้วยเลย
ในประเทศมาเลเซียมี”ผีฮันตูปินังกาลัน” ซึ่งมีเรื่องเล่าที่มีลักษณะคล้ายกับกระสือของไทย โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่า มีครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก พอตกกลางคืน ผู้เป็นพ่อมีธุระที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่จึงปิดประตูอยู่ในห้อง จากนั้นจึงหยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพัก หัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยตามติดออกมาด้วย เมื่อหัวและไส้ของนางเคลื่อนที่ไปไหนก็จะปรากฎเป็นดวงไฟสีเหลืองท่บริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังมีเสียงดังประดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยออกไปเพื่อขับไล่สัตว์น้อยใหญ่ที่หวังจะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง
เมื่อผู้เป็นลูกแอบเห็น จึงได้ลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทาดูบ้าง ในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากร่าง เด็กน้อยก็เกิดความกลัว และร้องไห้โวยวายออกมาอย่างเสียงดังว่า “ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว”เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงของเด็กน้อย ก็พากันหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
จนกระทั่งเมื่อหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับเข้ามาสู่ร่างเดิม เสียงร้องโวยวายก็สงบเงียบลง และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีออกไป และไม่มีใครมีโอกาสได้พบเห็นพวกเขาอีกเลย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าของชาวญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินในเวลากลางคืนได้ด้วย ปีศาจตัวนี้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนวันหนึ่ง มีซามูไรผู้กล้าผู้ที่ปัจจุบันผันตัวเองไปบวชเป็นพระ และธุดงค์ผ่านมา เมื่อหัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ทราบเข้า ก็ได้นิมนต์พระรูปนั้นไปพักที่บ้านของตน
เมื่อตกกลางคืน พระได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหวังจะไปดื่มน้ำโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัวเพราะกลัวจะเป็นการรบกวน ขณะที่เดินผ่านไปยังห้องนอนของเหล่าปีศาจ กลับพบว่าทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัว เมื่อพระเดินตามออกไปดูนอกบ้าน ก็พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา และใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้นดิน อีกทั้งยังได้ยินแผนการที่พวกปีศาจจะกินตนในเวลาก่อนรุ่งเช้าด้วย
เมื่อพระได้ยินดังนั้น จึงลากเอาร่างไร้หัวของเหล่าปีศาจไปแอบซ่อนไว้ และเมื่อปีศาจกลับมาแล้วไม่พบร่างของตนก็รู้สึกตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้ช่วยกันรุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจต้านทานความเก่งกาจของพระผู้ที่เคยเป็นซามูไรมาก่อนได้ จนในที่สุดก็ตายลงในเวลาเช้า
อย่างไรก็ตาม มีหัวของหัวหน้าปีศาจได้กัดติดมากับจีวรของพระ และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โดยโจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกเอาเงินผู้คน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลัวว่าปีศาจจะมาทวงคืน จึงได้ทำสุสานเพื่อฝังหัวปีศาจเอาไว้ และเชื่อกันว่าสุสานแห่งนี้ยังคงมีปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้
ที่มา
ผีกองกอย เสียงร้องในไพร
กองกอย ถือเป็นผีป่าหรือผีไพรชนิดหนึ่ง กองกอยมักมีรูปร่างลักษณะเป็นผีขาเดียว ที่มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนก็มักจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า ” กองกอย ๆ ” ซึ่งทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกที่ว่านี้นั่นเอง
คนส่วนใหญ่เชื่อว่ากองกอยมีหน้าตาคล้ายกับลิงหรือค่าง บ้างก็เรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม เนื่องจากสันนิษฐานว่า ผีโป่งก็คือค่างแก่ที่มีหน้าตาน่าเกลียดและไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า หากได้มีโอกาสดื่มเลือดค่าง จะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันและเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
คนโบราณมักจะมีความเชื่อว่า ผีกองกอย มักจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่ไปพักค้างแรมในป่า หากต้องการป้องกันไม่ให้ผีมาดูดเลือด จะต้องนอนไขว้ขาหรือนอนเท้าชิดกันทั้งสองข้าง ตัวอย่างของผีกองกอยในวรรณคดี ก็คือเจ้าย่องตอด ซึ่งพบได้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นั่นเอง
เรายังพบผีชนิดอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกับผีกองกอยมีกระจัดกระจายไปทั่วในหลายประเทศ เช่น คนมาเลเซียจะมีความเชื่อเรื่องผีคนป่าเผ่าหนึ่งที่มีขาข้างเดียวและไม่มีสะบ้าหัวเข่า ส่วนในจีนก็มีความเชื่อเกี่ยวกับปีศาจชนิดหนึ่งที่มักอาศัยอยู่ตามภูเขา ผีจีนตัวนี้จะมีลักษณะพิเศษคือมีขาเดียว ตัวเล็ก ตาโต หูแหลม แต่ผมยาว และมักจะชอบลักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง และเมื่อถึงเทศกาลวันตรุษ ผีชนิดนี้ก็มักเข้ามาอาละวาดคนในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าเป็นผีที่นำความอัปมงคลมาให้ หากใครได้จับต้องโดนตัวมัน จะต้องเผชิญกับความโชคร้ายหรือต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันทุกราย ส่วนทางยุโรปก็มีผีขาเดียว ที่มักจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด
ส่วนในภาคเหนือของไทยก็มีผีอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นผีโป่งชนิดหนึ่ง เพราะลักษณะของมันคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีขาเพียงข้างเดียว แต่วิ่งไวราวกับลมพัด อย่างไรก็ตาม ผีชนิดนี้มีความแปลกอยู่บ้างตรงที่ไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่กลับชอบเล่นบังตาคนมากกว่า ผีชนิดนี้มักมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง ส่วนนิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้คือ หากมีมนุษย์คนใดมาตะโกนเรียกกันในป่า มันจะทำเสียงเลียนแบบ จนทำให้คนที่ตะโกนรับหลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามไม่ให้เราตะโกนเสียงดังในป่า เพราะเกรงว่าผีโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงแล้วทำให้หลงป่าได้นั่นเอง
ที่มา
ผีเปรต สัตว์นรกในห้วงกรรม
เปรต คือ ผีที่มีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล คอยาว ผมยาว ตัวดำ ผอมโซแต่ท้องโต มีมือใหญ่เท่าใบตาล แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็ม ทำให้ผีเปรตมักจะหิวอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่สามารถกินอะไรได้มากพอ เปรตจึงมักจะชอบปรากฎตัวในงานบุญเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อขอส่วนบุญเพื่อสั่งสมบุญให้มากพอ จนสามารถไปเกิดใหม่ในชาติหน้า โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
เปรต หมายความว่า ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว หรือผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่หากกล่าวถึงในทางพุทธศาสนา เปรตจะหมายถึง สัตว์พวกหนึ่งที่เกิดในเปตสิสัยอันเป็นอบายภูมิ ๑ ใน ๔ ความเชื่อตั้งแต่โบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดคิดร้ายพ่อแม่ผู้มีพระคุณกับตัวเอง ชาติหน้าจะต้องไปเกิดเป็นผีเปรต
ประเภทของเปรต
เปรตสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยแบ่งกลุ่มออกได้ดังต่อไปนี้
แบ่งตามเปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ 4 ประเภท
ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ หากขาดส่วนบุญจากผู้ใจบุญไป เปรตเหล่านี้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร
ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยากจนเกิดทุกข์จากความหิวโหยอยู่เสมอ
นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้ลุ่มร้อนอยู่เสมอ
กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตที่อยู่ในจำพวกอสุรกาย
แบ่งตามคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งได้ 12 ประเภท
วันตาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ หรืออาเจียน เป็นอาหาร
กุณปาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการกินซากศพของคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร
คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆของคนและสัตว์ เป็นอาหาร
อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากตลอดเวลา
สุจิมุขเปรต คือ เปรตที่มีปากขนาดเล็กเท่ารูเข็ม
ตัณหัฏฏิตเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวทั้งข้าวและหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา
สุนิชฌามกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่โดนเผา
สุตตังคเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวราวกับคมมีด
ปัพพตังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เขนาดเท่าภูเขา
อชครังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายราวกับงูเหลือม
เวมานิกเปรต คือ เปรตที่ต้องเสวยทุกข์เฉพาะในช่วงเวลากลางวัน แต่สามารถเสวยสุขในวิมานได้ในช่วงเวลากลางคืน
มหิทธิกเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์มาก
แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 ประเภท
อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกยาวติดกันเป็นท่อน ๆ
มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ
มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้มร่างกาย
อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะขนาดใหญ่โตมากกว่าปกติ
คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในกองอุจจาระ
คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
นิจฉวิตกิเปรต คือ เปรตเพศหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม
ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งตลอดเวลา
โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
อลิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ
ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ
ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระภิกษุณี
สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี
ที่มา
ท้าวแสนปม จ.กำแพงเพชร
กล่าวถึงชายผู้หนึ่งนามว่า ตาแสนปม ตาแสนปมเป็นคนทำสวนคนหนึ่งในวังของพระราชา แต่เขาเกิดมามีกรรมเพราะมีรูปร่างแปลกประหลาดไปจากคนทั่วไป ร่างกายของเขามีปุ่มปมขึ้นเต็มไปหมด ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อของเขานั่นเอง
ตาแสนปมมีหน้าที่ดูแลสวน และใช้น้ำปัสสาวะของตนรดต้นมะเขือต่างน้ำ ต้นมะเขือที่ปลูกด้วยน้ำปัสสาวะจึงเจริญเติบโตงอกงาม และออกผลใหญ่น่ารับประทาน ต่อมา มีลิงตัวหนึ่งแอบมาลักลูกมะเขือที่ตาแสนปมปลูกไว้ เมื่อเขาจับได้จึงคิดจะฆ่าลิง แต่ลิงก็อ้อนวอนขอแลกชีวิตของตนกับฆ้องลูกหนึ่ง ตาแสนปมจึงตัดสินใจรับข้อตกลง และปล่อยลิงตัวนั้นไป
วันหนึ่ง ราชธิดาผู้มีรูปโฉมงดงามได้เสด็จมาประพาสสวน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นมะเขือมีผลโตงดงามก็คิดอยากจะเสวย ตาแสนปมจึงเด็ดลูกมะเขือมาถวายให้แก่ราชธิดา
แต่ต่อมาไม่นาน ราชธิดาก็เกิดตั้งครรภ์และคลอดพระโอรสมาองค์หนึ่งออกมา แต่เนื่องจากไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของพระโอรส พระราชาจึงสั่งให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวไปตามเมืองต่างๆเพื่อเสาะหาเขย โดยประกาศว่า หากโอรสของพระธิดารับของจากมือชายคนใด พระองค์ก็จะยกพระธิดาให้แต่งงานรวมถึงจะยกเมืองให้ปกครองด้วย
เมื่อทราบข่าว บรรดาชายหนุ่มทั้งคนธรรมดาทั่วไป ลูกเศรษฐี ลูกมหาเศรษฐี และเจ้าชายจากเมืองต่างๆ ก็พากันนำขนมนมเนยต่างๆมากมายมาถวายแก่พระโอรส แต่พระโอรสก็ยังไม่ยอมรับของจาดใคร จนสุดท้าย ตาแสนปมได้นำเอาก้อนข้าวเย็นมามอบให้แก่พระโอรส ซึ่งพระโอรสก็รับเอาก้อนข้าวเย็นจากมือตาแสนปมมาอย่างง่ายดาย ทำให้พระราชารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และจะไม่ยอมยกพระธิดาให้ตามสัญญา
ตาแสนปมจึงได้นำฆ้องที่ลิงเคยมอบให้ออกมาตี ซึ่งทำให่ปุ่มปมที่เคยปรากฏบนร่างกายหายไปจนหมด และแปลงโฉมเป็นชายหนุ่มรูปงามแทน จากนั้นตาแสนปมก็ตีฆ้องซ้ำอีกครั้ง ก็ปรากฎเป็นกองทัพยกขบวนขันหมากขึ้นมา
เมื่อตาแสนปมมีรูปโฉมที่เปลี่ยนไป พระราชาจึงยอมให้อภิเษกสมรสกับพระธิดา และยอมยกเมืองให้ปกครอง แต่ตาแสนปมกลับไม่ยอมรับ และพาพระมเหสีกับพระโอรสเดินทางออกไปจากเมือง จากนั้นก็พากันเดินทางไปจนถึงชัยภูมิที่เหมาะสม แล้วจึงตีฆ้องเป็นครั้งที่ ๓ ทำให้ปรากฏเป็นเมืองที่มีปราสาทราชวังอันแสนใหญ่โตขึ้นมา และตั้งชื่อว่าเมืองไตรตรึงษ์ ตาแสนปมจึงสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นท้าวแสนปม และปกครองบ้านเมืองอย่างมีความสุขสืบมา
ที่มา
ผีพลาย
ผีพราย ถูกเชื่อกันว่าเป็นจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมากสุด ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก พรายโดยส่วนใหญ่มักมีที่มาแหล่งกำเนิดมาจากซากพืชหรือซากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่หมักหมมรวมกัน ดวงจิตวิญญาณนี้มักจะแสดงตนในลักษณะของดวงไฟเรืองแสง เพื่อหาที่อยู่โดยการสิงเข้าสู่บางส่วนของร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งถือว่าดีกว่าการสิงสู่ด้วยการหลอกล่อให้ลุ่มหลงเหมือนที่เคยเป็นมา
มักจะเห็นได้ว่า ผีพรายโดยส่วนใหญ่จะปรากฏกายเป็นผู้หญิง หรือในบางทีนางไม้ก็จัดเข้าพวกผีพรายได้เช่นกัน เช่น พรายตะเคียน พรายตานี เป็นต้น นอกจากนี้ ผีทะเลหรือผีน้ำก็จัดเป็นพรายด้วยเช่นกัน เช่น พรายทะเล พรายน้ำ เพียงแต่ว่าพรายน้ำที่มีลักษณะเป็นฟองผุดๆขึ้นมาจากน้ำนั้นถือเป็นพรายคนละอย่างกัน
ในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ได้ปรากฏผีพรายที่เป็นโหงพรายเป็นหนึ่งในตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผนด้วย ซึ่งคาดว่าผีพรายตนนี้น่าจะเป็นผีผู้ชายมากกว่า
ที่มา
กำเนิดโลก (กรีก)
ย้อนไปในสมัยครั้งก่อนที่แผ่นดินและทุกสิ่งมีชีวิตยังไม่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา ทุกอย่างยังคงเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้รูปลักษณ์ จนเมื่อความว่างเปล่าส่วนหนึ่งเกิดสภาวะหมุนวนอย่างไม่หยุดนิ่ง และแยกตัวออกมากลายเป็นท้องฟ้า ที่มีนามว่าวิลยานาร์ส วิลยานาร์สก็คอยทำหน้าที่เฝ้าโอบอุ้มประคองภาวะของความว่างเปล่าเหล่านั้นเอาไว้ แต่ภายหลังการกำเนิดของวิลยานาร์สเพียงไม่นาน ภาวะของความว่างเปล่าอีกส่วนหนึ่งก็ได้แยกตัวออกมาเป็นผืนแผ่นดิน หรือที่เรียกว่าแม่พระธรณีซึ่งมีนามว่าแอมบาร์ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดท้องฟ้าและผืนดินจวบจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
แม้ว่าม้องฟ้าและแผ่นดินจะถูกสร้างขึ้นมาแล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่มีสิ่งอื่นใดปรากฎขึ้นมาอีก ท้องฟ้าในยามค่ำคืนจึงยังคงว่างเปล่าไร้แสงดาว ส่วนผืนดินก็ยังคงแห้งผากปราศจากสิ่งมีชีวิตหรือพืชพันธุ์
เวลาผ่านไป จนกระทั่งแอมบาร์ได้ให้กำเนิดบุตรแก่วิลยานาร์ส ซึ่งมีนามว่าคาเลเมนาร์ส เมื่อนั้นแสงสว่างก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา และนอกจากคาเลเมนาร์สที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว แอมบาร์ก็ยังให้กำเนิดธิดาอีกคนหนึ่งแก่วิลยานาร์ ซึ่งมีนามว่าโลเมอาร์ผู้เป็นความมืด ด้วยเหตุนี้ แผ่นดินที่เกิดขึ้นมาจึงมีทั้งแสงสว่างและความมืดปรากฎขึ้นมาหลังจากนั้น
คาเลเมนาร์สได้เดินทางออกไปท่องเที่ยวจนสุดปลายแผ่นดิน เขาได้ทำหน้าที่นำเอาความสว่างจากทั่วแผ่นดินที่ได้พบเจอมารวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ความมืดที่เคยมีจางหายไป เมื่อแผ่นดินเกิดความสว่างขึ้นโดยทั่ว เคาเลเมนาร์สก็พบเห็นความจริงว่า แผ่นดินผืนนี้ช่างแห้งแล้งยิ่งนัก จึงตัดสินใจนำเอาความว่างเปล่าส่วนหนึ่งจากวิลยานาร์สมาสร้างเป็นเมฆฝน และปล่อยให้ล่องลอยไปปกคลุมทั่วผืนแผ่นดิน จากนั้นก็บันดาลให้เกิดฝนตกลงมารวมกันจนเกิดเป็นลำธาร เมื่อลำธารหลายสายไหลมาบรรจบกันก็กลายเป็นแม่น้ำ และเมื่อแม่น้ำไหลมารวมกันก็กลายมาเป็นมหาสมุทร สายน้ำบางสายถูกกักขังตามหุบเขาจนเกิดเป็นหนองบึงหรือทะเลสาบน้อยใหญ่ ด้วยเหตุนี้แผ่นน้ำทั้งหลายจึงบังเกิดขึ้นมาในที่สุดนั่นเอง
เมื่อคาเลเมนาร์สเห็นว่าผืนดินที่เคยแห้งแล้งกลับกลายเป็นแผ่นดินที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำ ก็เกิดความพอใจในผลงานของตนเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นแล้ว แผ่นดินผืนนี้ก็ยังเป็นผืนดินที่มีแต่ภูเขาหิน ดิน และน้ำ แต่ยังไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ เขาจึงปรึกษากับแอมบาร์ผู้เป็นมารดา ซึ่งในขณะนั้นเนื้อตัวของนางกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน นางจึงใช้มือปัดเอาเศษโคลนออกจากตัว ทันทีที่เศษโคลนตกลงถึงพื้นก็บังเกิดเป็นพืชพันธุ์สีเขียวทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ เจริญงอกงามจนทั่วทั้งแผ่นดิน
แม้ว่าในเวลานี้แผ่นดินจะมีทั้งแสงสว่างอันอบอุ่น ป่าและทุ่งหญ้าสีเขียวขจี และลำธารน้ำใสสะอาดแล้ว แต่แอมบาร์และคาเลเมนาร์สก็ยังเห็นว่ายังขาดบางสิ่งบางอย่างไปอยู่ จนกระทั่งวิลยานาร์สแสดงความเห็นว่าที่ทั้งสองยังไม่พอใจ อาจเป็นเพราะแผ่นดินยังขาดสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์น้อยใหญ่หลากชนิด แอมบาร์เห็นด้วยกับความคิดของวิลยานาร์ส จึงได้นำความว่างเปล่าบางส่วนมาสร้างเป็นฝูงสัตว์น้อยใหญ่ โดยสร้างปลาหลากชนิดให้อาศัยอยู่ในน้ำและในท้องทะเลตามชนิดพันธุ์ของมัน ส่วนฝูงสัตว์ปีกน้อยใหญ่ก็ให้โบยบินอยู่บนฟ้าและจัดหาที่อยู่ตามชนิดของมัน ในขณะที่ฝูงสัตว์จตุบาทน้อยใหญ่ทั้งสัตว์ที่กินเนื้อและสัตว์ที่กินพืชก็จัดการให้อยู่ตามชนิดของมัน นอกจากนี้ ยังได้อวยพรให้เหล่าสัตว์สืบเผ่าพันธุ์รุ่นสู่รุ่นจนเต็มแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินที่เดิมเคยว่างเปล่ากลับอุดมไปด้วยความสมบูรณ์ เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าก็เขียวขจีตลอดเวลา และมีแสงสว่างที่คอยส่องให้อบอุ่นตลอดทั้งปี แผ่นดินจึงแลดูสวยงามเรียบประดุจสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
แต่ทว่า โลเมอาร์ได้บังเอิญทำสิ่งผิดพลาดอย่างหนึ่งขึ้น เนื่องจากนางได้พยายามรวบรวมเอาความมืดดำในยามราตรีกาล และความหนาวเย็นที่ได้ถูกทำให้กระจัดกระจายไปเมื่อครั้งที่คาเลเมนาร์สรวบรวมแสงสว่างขึ้นเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มีดินแดนบางส่วนในแผ่นดินไม่เคยมีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความอบอุ่นของแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคาเลเมนาร์สรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ก็จนปัญญาที่จะแก้ไขได้ด้วยตนเอง จึงนำปัญหาไปปรึกษากับแอมบาร์และวิลยานาร์สอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่ก็ยังไม่สามารถค้นพบทางออกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เลย ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่จึงเห็นพ้องต้องกันว่าค วรจะสร้างสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดขึ้นมาเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้
วิลยานาร์สจึงได้สร้างโครงร่างของสิ่งมีชีวิตชายและหญิงขึ้นมาสิบสองคน และให้แอมบาร์ระบายลมปราณออกทางจมูกโครงร่างนั้น เมื่อคาเลเมนาร์สได้สัมผัสที่เปลือกตา สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็เรียนรู้ที่จะมองเห็นได้ และสุดท้ายโลเมอาร์ได้สัมผัสที่หูของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสิบสองคนสามารถได้ยินเสียงรอบกายได้
เมื่อทั้งสี่ได้ร่วมกันสร้างสิ่งมีชิวิตทั้งสิบสองคนขึ้นมา สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า ‘ไอสตาร์ หรืออิสตาร์’ ซึ่งหมายถึงวงศ์วานเทพไอสตาร์ทั้งสิบสองนั่นเอง เทพไอสตาร์แต่ละองค์มีชื่อที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
1. เบลเลก สุริยเทพ และประมุขของเหล่าไอสตาร์
2. เฟริอานอส เทพเจ้าแห่งรัตติกาล
3. คูเวียร์ เทพเจ้าแห่งการช่างและงานฝีมือ
4. ออร์ธาร์ส เทพเจ้าแห่งสงคราม
5. เนวิลเว เทพแห่งเจ้าแห่งการพิพากษาและความยุติธรรม
6. ซูเร เทพเจ้าแห่งสายลมและฤดูกาล
7. ไมอาร์ เทพีแห่งความรักและความงาม
8. อิสควาเทียร์ เทพีแห่งปัญญาและวิทยาการ
9. อลาเธียร์ เทพีแห่งมหาสมุทร
10. ออเรอาร์ เทพีแห่งการเกษตรและการกสิกรรม
11. เมนิเทียร์ เทพีแห่งการสื่อสารและการเดินทาง
12. ฟิริมาร์ เทพีแห่งผู้วายชนม์
เดิมทีก่อนที่เหล่าเทพไอสตาร์ทั้งสิบสองจะถือกำเนิดนั้น เทพเจ้าในพารูอินยังคงเป็นเพียงจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ แต่เมื่อทั้งสี่ได้สร้างเหล่าไอสตาร์ขึ้นมา เทพเจ้าจึงเปลี่ยนรูปแบบจากนามธรรมเป็นรูปธรรมในที่สุด
>>> ที่มา <<<
โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับ
โมอายแห่ง ราโน ราราคู
เกาะอีสเตอร์ เป็นชื่อของเกาะที่คนจำนวนมากน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของมันผ่านหูมาบ้าง และก็คาดว่าคนเหล่านี้คงจะยังคงสงสัยถึงความลึกลับของชื่อประหลาดๆแห่งนี้กันบ้างละ ว่ามันคืออะไรกันแน่ นอกเหนือจากนี้ยังมีรูปสลักหน้าใหญ่อันแสนลึกลับที่วางเรียงรายกันเป็นแถวบนแถบชายหาด ที่คนส่วนใหญ่ขนานนามกันว่า ” โมอาย ” อีกด้วย
สถานที่ตั้งของเกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนตาฮิติและชิลีราว 2,000 ไมล์ หากพิจารณาในแผนที่โลกก็จะพบว่า เกาะอีสเตอร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ก็คือ แท่งหินขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อว่า ‘โมอาย’ แต่เมื่อย้อนความไปในอดีต กลับพบว่าเดิมทีเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก แต่มีชื่อพื้นเมืองว่า ” Te Pito O Te Henua ” ที่หมายถึง สะดือของโลก (Navel of The World) ต่างหาก แต่หลังจากที่เกาะแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวตะวันตกที่มาขึ้นฝั่งด้วยเรือที่นี่เมื่อปี 1722 ซึ่งวันนั้นตรงกับวันอีสเตอร์พอดี เกาะแห่งนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น เกาะอีสเตอร์ นั่นเอง
โมอาย (Moai) เป็นหินรูปปั้นที่มีรูปร่างคล้ายคน โดยรูปปั้นนี้จะมีส่วนศีรษะที่ใหญ่ชัดเจน โมอายที่พบบนเกาะนี้มีมากกว่า 600 ตัว และกระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ ภายในอุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี จากการสำรวจ พบว่าโมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียวกัน แต่อาจมีบางตัวจะมีลักษณะที่ต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือมี Pukau หรือหมวกวางอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทุกก้อนผลิตมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่แกะสลักโมอาย และพบว่ายังมีโมอายกว่า 400 ตัว ทั้ยังอยู่ในกระบวนการแกะสลัก
การค้นพบรูปปั้นที่ยังอยู่ในระหว่างการแกะสลักนี้ ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่า เหมืองหินที่สร้างโมอายขึ้นมาน่าจะถูกทิ้งร้างไปแบบกระทันหัน และพบว่าโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือชาวพื้นเมืองบนเกาะที่จับให้มันล้มลง
เมื่อพิจารณาลักษณะโดยละเอียดของโมอาย จะพบว่า โมอายจะประกอบไปด้วยส่วนหัวขนาดใหญ่ แต่ก็มีโมอายบางตัวที่มีส่วนประกอบของหัวไหล่ แขน และลำตัว ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบถึงความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้างโมอายอย่างชัดเจน ทุกอย่างยังคงมีเพียงข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกันไปต่างๆนานา แต่พบว่าข้อสันนิษฐานที่นิยมมากที่สุด ก็คือ รูปปั้นโมอายเหล่านี้ถูกสร้างโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้ ที่เชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนสร้างโมอายนี้ขึ้นเพื่อ ก็น่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือเป็นบุคคลผู้มีความสำคัญ ณ ยุคสมัยนั้น หรือบางครั้งก็เชื่อกันว่าอาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของแต่ละครอบครัว
จะพบได้ว่าการสร้างโมอาย ที่มีขนาดสูงประมาณ 3.5 เมตร และหนักถึง 20 ตัน นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ต้องลงทุนลงแรง และใช้เวลานานหลายปีจึงจะสร้างสำเร็จ อีกทั้ง ยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นที่สร้างเสร็จแล้วไปยังบริเวณที่ต้องการอีกด้วย ปัจจุบัน การขนย้ายโมอายที่หนักและใหญ่เช่นนี้ ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่ทราบที่มาอย่างแน่ชัด แม้ว่าจะมีนักวิชาการหลายคนพยายามขุดค้นเพื่อตำนานของชาวเกาะเพื่อสืบหาความเป็นมาเป็นไปของโมอาย แต่ก็ไม่พบความคืบหน้าสักเท่าไรนัก เมื่อนำคำถามนี้ไปถามชาวเกาะวัชราที่ยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเกาะ ก็กลับได้รับคำตอบอย่างน่าแปลกใจว่า “มันเดินกันลงมาเอง” !? เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่ารูปสลักขนาดใหญ่มหึมาขนาดนี้ จะถูกชาวบ้านใช้แรงงานลากขนย้ายลงมาด้วยตนเอง และไม่เพียงแต่วิธีการขนย้ายเท่านั้นที่ยังเป็นปริศนา แต่การแกะสลักของชาวโพลิเนเชี่ยนที่สร้างโมอายขึ้นมานี้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนว่าพวกเขาใช้เครื่องมืออะไรในการสรรค์สร้างมันขึ้นมา
มีตำนานของเกาะอีสเตอร์บอกเล่ากันมาว่า หัวหน้าเผ่าหมู่หนึ่งได้พยายามซึ่งสืบเสาะหาทำเลที่ตั้งบ้านหลังใหม่ และในที่สุดเขาก็ได้เลือกหมู่เกาะอีสเตอร์เป็นแหล่งพักพิง หลังจากที่หัวหน้าเผ่าสิ้นใจตายไปแล้ว เกาะแห่งนี้ก็ได้ถูกแบ่งสมบัติให้แก่บรรดาเหล่าลูกชายของเขา และมีการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ และเมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดเสียชีวิตลง ก็จะมีการนำโมอายไปตั้งเป็นสัญลักษณ์ไว้ประจำ ณ สุสาน ด้วยเหตุนี้ ชาวเกาะทั้งหลายจึงเชื่อว่า รูปปั้นโมอายจะคอยพิทักษ์รักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าที่เสียชีวิตไปแล้วเอาไว้ และจะช่วยนำเอาสิ่งดีๆ เช่น ฝนตกตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารสมบูรณ์ เป็นต้น กลับมาสู่เกาะอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่ากันมานี้อาจมีการบิดเบือนไปจากความจริงได้บ้าง เนื่องจากเป็นการเล่าที่สืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนานมากแล้ว
การไขปริศนาของโมอายที่แท้จริงจาก UBC ช่อง History
เป็นที่สรุปออกมาแล้วว่า โมอายกว่า 900 ตัว ที่ถูกค้นพบบนเกาะอีสเตอร์ เป็นฝีมือการประดิษฐ์ของมนุษย์ชาวโพลิเนเชียนนั่นเองเอง เนื่องจากหลักฐานระบุว่า ที่บนเกาะแห่งนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักโมอายทั้งหมดจึงใช้วัตถุดิบจากหินภูเขาไฟซึ่งมีความแข็งและคมกว่าหินภายในเหมืองหิน มาเป็นเครื่องมือในการแกะสลันั่นเอง
เหตุใดอารยธรรมของพวกเขาเหล่านี้จึงสาปสูญไป ??
เหตุผลที่อารยธรรมของพวกเขาเหล่านี้สาปสูญไป ก็เป็นเพราะพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่บนเกาะจนหมดสิ้นไปแล้ว จากเดิมเป็นเกาะแห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่คอยกำบังแดดร้อนให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อมรัพยากรสิ้นสุดลง ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องไปหลบแดดอยู่ภายในถ้ำ นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า บนเกาะแห่งนี้ได้เกิดสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองบนเกาะกัน รวมไปถึงมีการใช้สิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร ย่างไรก็ตาม พวกเขาก็พยายามหาทางแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ โดยการจัดการแข่งขัน ‘มนุษย์นกขึ้น’ (Birdman) ซึ่งการแข่งขันแบบสุดหฤโหดนี้จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละเผ่าที่เก่งที่สุดออกมา และจะมาวิ่งแข่งลงจากหน้าผาที่สูงชันถึง 1000 ฟุต ต่อด้วยการว่ายน้ำฝ่าฝูงฉลามไปยังเกาะนกนางนวล จากนั้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกหยิบไข่นกนางนวลกลับมา ก่อนจะว่ายน้ำกลับมาเพื่อนำไข่ไปให้แก่ผู้นำของตนเอง หากเผ่าใดสามารถชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ หัวหน้าเผ่าเหล่านั้นก็จะเป็นผู้นำที่สามารถใช้สิทธิอันเด็ดขาด และมีอำนาจสูงสุดในการปกครองเกาะแห่งนี้ไปอีก 1 ปี พอครบปี ก็จะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะคนใหม่ขึ้นมาแทน
เหตุผลที่โมอายได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
เมื่อปี พ.ศ. 2533 โมอายได้ถูกรับเลือกให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้ ได้แก่
1. โมอายถือเป็นตัวแทนผลงานชิ้นเอกที่ถูกสร้างขึ้นจากการสร้างสรรค์อันแสนชาญฉลาด
2. โมอายเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ยังคงปรากฏให้คนทั่วโลกได้เห็นและสัมผัสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
3. โมอายเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม อันบ่งบอกถึงกรรมวิธีการก่อสร้าง หรือการลงหลักปักฐานของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เสื่อมสลายได้ง่ายจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ใช้เรียนรู้เพื่ออนาคตได้เป็นอย่างดี
>>> ที่มา <<<
กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)
สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน
สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า “ทุ่งมาล์โบโร” ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z
วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน
สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)
แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น
แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย
สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของประเทศอังกฤษ กลางทุ่งราบอันกว้างใหญ่ ในบริเวณที่เรียกว่า “ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่” ลักษณะของสโตนเฮนจ์ จะเป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ประกอบด้วยแท่งหินจำนวน 112 ก้อน ทั้งหมดจะตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกันสามวง บางแท่งอาจตั้งขึ้น บางแท่งอาจวางนอน หรือบางแท่งอาจถูกวางซ้อนอยู่บน มองดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ด้วนความประหลาดไม่เหมือนใคร และไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์การสร้างอย่างแน่ชัด ทำให้สโตนเฮนจ์กลายเป็นที่รู้จักอย่างมากในฐานะ ‘กลุ่มหินประหลาด’ และหากพิจารณาถึงอายุของแท่งหินเหล่านี้ คาดการณ์ได้ว่า น่าจะถูกสร้างมานานกว่า 5,000 ปีที่ผ่านมา
นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ ต่างตั้งคำถามว่าเหตุใด คนสมัยก่อนที่ปราศจากเครื่องมือทุ่นแรงเหมือนอย่างปัจจุบัน จึงสามารถแบกแท่งหินที่มีน้ำหนักมากถึง 30 ตัน ขึ้นไป มาวางซ้อนกันได้ และที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือ เหตุใดบริเวณที่ราบดังกล่าวจึงมีก้อนหินขนาดใหญ่โตเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างพากันสันนิษฐานถึงต้นกำเนิดหรือที่มาในการเคลื่อนที่แท่งหินยักษ์ทั้งหมดว่ามาจากที่ไหน ซึ่งมีผู้ทำนายว่า น่าจะมาเป็นแท่งหินที่เคลื่อนย้ายมาจาก “ทุ่งมาล์โบโร” ซึ่งอยู่ถัดออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร
กล่าวกันว่า การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์ใช้เวลาในการสร้างอย่างยาวนานถึง 3-4 ระยะ รวมเวลาประมาณ 1,500 ปี โดยกินเวลาตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น แต่คาดการณ์ว่าการสร้างโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ปัจจุบันนี้ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงมาบ้าง และกลายเป็นซากปรักหักพังอันแสดงถึงความรุ่งโรจน์ที่หลงเหลืออยู่ บางส่วนมีการหายไปบ้าง ในขณะที่บางส่วนก็ทับถมอยู่ใต้ดิน
นักประวัติศาสตร์คาดคะเนว่าการก่อสร้างสโตนเฮนจ์น่าจะเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนปีคริสต์กาล หรือผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าประมาณ 3,800 ปี วิธีการสร้างเริ่มจากการขุดหลุมเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ให้ได้ 56 หลุม และเรียงตัวกันเป็นวงกลม หลุมเหล่านี้ที่เป็นวงกลุ่ม จะเรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ที่เรียกตามชื่อของจอห์น ออบรีย์ ผู้ค้นพบสโตนเฮนจ์ในปีคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจจุบันหลุมทั้งหมดถูกปิดด้วยปูบซีเมนต์ มีเพียงหินฮีล (Heel Stone) ซึ่งเป็นหินแท่งแรก ที่ยังคงประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินในลักษณะเดิม ส่วนหลุมที่ขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงภายใน ถูเรียกชื่อว่าหลุม Y และหลุม Z
วงหลุมทั้งสองนี้อยู่ระหว่าง ‘วงหลุมออบรีย์วงนอก’ และ ‘วงแท่งหินตรงใจกลางขนาดใหญ่’ สันนิษฐานกันว่า วงหลุม Y และ Z อาจมีความสัมพันธ์กับการศึกษาทางดาราศาสตร์ เมื่อราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล ได้มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) จากแคว้นเวลส์ จำนวน 80 ก้อน มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกัน แต่ต่อมา ก็ได้นำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ที่เรียกว่าหินซาร์เซน(sarsen) vudจำนวน 30 แท่ง มาเรียงเป็นวงกลมหนึ่งวงแทนที่วงหินสี่น้ำเงินวงนั้น
สองวงเดิมที่อยู่ภายในวงหินทราย มีหมู่หินเรียงกันคล้ายรูปเกือกม้า ส่วนหมู่ที่อยู่ด้านนอกซึ่งประกอบไปด้วยหินทรายสร้างเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม (Trilithon หมายถึง กลุ่มหินสามแท่ง โดยสองแท่งวางในแนวตั้งขึ้น ส่วนอีกแท่งวางพาดหินสองก้อนแรกในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านใน ประกอบไปด้วยหินขัดสีน้ำเงิน 19แท่ง
สโตนเฮนจ์ถือเป็นสถาปัตยกรรมอันแสนน่าทึ่ง เมื่อพิจารณาถึงที่มาหรือเครื่องมือในการสร้างหรือการขุดดิน ที่อยู่ในยุคหินใหม่ ก็เป็นเพียงเสียมที่ผลิตจากเขากวางแดงเท่านั้น ส่วนที่มาของชื่อ สโตนเฮนจ์ ได้มาจากการที่ชาวแซกซันตั้งให้ ซึ่งสโตนเฮนจ์ แปลความได้ว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ในขณะที่บันทึกในสมัยกลาง มีการตั้งชื่อวงหินนี้ว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)
แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะลงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า โตนเฮนจ์เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ลี้ลับ และยังไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนี้มีไว้เพื่อใช้ทำอะไร มีแต่เพียงการเสนอข้อสันนิษฐานต่าง ๆ เช่น ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สถาปนิกที่ชื่อ อิ นิโก โจนส์ เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เคยเป็นเป็นซากของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 กลับยืนยันว่าซากสโตนเฮนจ์เป็นวิหารที่พวกลัทธิดรูอิด ใช้ประกอบพิธีบูชายัญมนุษย์ และบูชาพระอาทิตย์ แต่ความคิดเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นจริง เพราะสโตนเฮนจ์ถูกสร้างเสร็จมาอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวแล้ว จนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีนักโบราณคดีบ่งบอกถึงข้อเท็จจริงบ้างอย่าง พวกเขาสามารถคำนวณอายุ และสรุปจุดประสงค์ของการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมาได้อย่างน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลความจริงที่ปรากฎยังมีอยู่ไม่มากนัก กล่าวว่า หินซาร์เซนที่เรียงกันในแนววงนอกมีความสูงประมาณ 5 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 26 ตัน หินเหล่านี้น่าจะถูกย้ายมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs) ซึ่งไกลออกไปประมาณ 32 กิโลเมตร จากนั้น ก็นำมาขัดแต่ง สลัก และเดือยอย่างประณีต ทำให้แท่งหินที่ตั้งที่พื้นและแท่งหินที่เป็นคานหินสามารถอยู่ได้ยาวนานอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งมีน้ำหนักมากถึงสี่ตัน น่าจะนำมาจากภูเขาพรีเซลีในแคว้นเวลส์ทางตะวันตกเฉียงใต้ และคาดการณ์ว่า ลำเลียงมาโดยใช้แพแล้วล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน เมื่อมาถึงฝั่งก็ชักลากกันต่อมา
นักโบราณคดีโดยมากเห็นว่า สโตนเฮนจ์น่าจะเป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีฝั่งศพ ซึ่งพิจารณาจากหลักฐานการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม ที่มีลักษณะใกล้เคียงสโตนเฮนจ์ แต่ก็ยังปรากฎหลักฐานคัดค้าน ว่าหลุมดังกล่าวในบริเวณนี้ น่าจะถูกขุดขึ้นมาก่อนจะมีการเผาศพ หรือบ้างก็คาดคะเนกันว่า หลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งในพิธีไหว้ด้วยสุรา อาธิ การบวงสรวงเทพเจ้าแห่งธรรมชาติทั้งหลายด้วยการเทเหล้าองุ่นลงในหลุม
>>> ที่มา <<<
อิมโฮเตป (Imhotep) มนุษย์ผู้ชาญฉลาดในตำนานอียิปต์
อิมโฮเตป ทำหน้าที่ เป็นอัครเสนาบดีของฟาโรห์โจเสร์ (Djoser) ฟาโรห์องค์ที่ 1 หรือที่ 2 ของราชวงศ์ที่ 3 ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเมมฟิส อิมโฮเตปเป็นบุคคลคนแรกที่บันทึกประวัติศาสตร์ของชาวไอยคุปต์ไว้ และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะมีความสามารถรอบด้าน ทั้งการเป็นนักเขียน หมอ หรือเป็นนักบวช อิมโฮเตปเป็นนักบวชที่เรียนรู้หลักคำสอนจากเฮลีออโปลีเทน และเป็นผู้ค้นพบหลักวิชาดาราศาสตร์และสถาปัตยกรรม
ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของอิมโฮเตปที่มีเหนือบุคคลอื่นๆ จึงทำให้ประชาชนทั้งหลายเชื่อถือว่าเขาจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเทพองค์สำคัญ อย่างเช่น เทพปตาฮ์และเทพธอธ อย่างแน่นอน
ชาวไอยคุปต์ทุกสมัยล้วนรู้จักผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมของอิมโฮเตปที่มีชื่อว่า ‘พีระมิดขั้นบันได หรือ มาสตาบาแห่งโจเสร์’ ที่สักการา ใกล้ๆกับเมืองเมมฟิส พีระมิดชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่สร้างจากก้อนหินปูนที่ขนย้ายมาจากเมืองตูรา (Tura) บนริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำนิล อีกทั้ง ยังเป็นพีระมิดแห่งแรกที่ก่อสร้างด้วยหินล้วนๆเพียงอย่างเดียว ลักษณะของพีระมิดนี้จะมีลักษณะเป็นขั้นบันไดขนาดใหญ่ ซึ่งมีไว้เพื่อให้กษัตริย์ขึ้นไปบนท้องฟ้า บริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยวิหาร ที่มีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นสถานที่ที่ใช้เฉลิมฉลองของกษัตริย์มากมาย
อิมโฮเตปมีสัญลักษณ์เป็นนักบวชโกนศีรษะ ด้วยท่านั่งหรือท่าคุกเข่าบนม้วนกระดาษปาปิรุส ซึ่งแสดงถึงแหล่งของความรู้ ส่วนการแต่งกายนั้น บางครั้งก็จะสวมกระโปรงยาวอย่างนักบวช ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธ์ทางศาสนา
>>> ที่มา <<<
เคาท์แดร๊คคูล่า (Dracula)
หากกล่าวถึงผีเทศหรือผีฝรั่ง คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก แดร๊คคูล่า ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในบรรดาผีทั้งหมด ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าแห่ง โรมาเนีย มีประวัติเล่าขานมากมายหลายศตวรรษ รวมไปถึงพฤติกรรมที่ดุร้ายน่าสยดสยอง ทำให้นิยายสยองขวัญและภาพยนตร์ นิยมนำไปสร้างเพื่อกอบโกยเงินจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก
แดร๊คคูล่า (Dracula) ในภาษาโรมาเนีย มีความหมายว่า “ปีศาจ” ซึ่งเดิมทีท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นวัลลาเซีย ที่อยู่ในประเทศโรมาเนีย ทวีปยุโรป
ต้นกำเนิดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า ไม่ใช่ซาตานหรือปีศาจตามแบบผีชนิดอื่นๆ แต่กลับเป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษมีชื่อว่า “แบรม สโตเกอร์” เขาผู้นี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝัน ซึ่วเกิดขึ้นมาในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวในปีค.ศ. 1897 และนิยายเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีภาคต่อออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของคอนิยายแนวสยองขวัญนั่นเอง นิยายเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก และถูกแปลเป็นภาษานานาชาติจนแทบนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หรือละครมากมาย ผลงานของนักเขียนผู้นี้จึงเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู พร้อมกวาดเงินจำนวนมากมายมหาศาลออกจากกระเป๋าของผู้เสพติดทั่วโลกด้วยความเต็มใจ
หลายท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า แล้วเหตุใดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจึงไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้ ซึ่งความจริงก็คือ … ถึงแม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะประพันธ์เรื่องราวทั้งหมดนี้จากความฝันของเขา แต่เขาก็พยายามสืบค้นประวัติศาสตร์ของโรมาเนียที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้นวัลลาเซีย ซึ่งเป็นผู้ที่มีนิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม และทารุณ เข้ามาเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาด้วย
ตำนานเล่าว่า เจ้าชาย วลาด ทีปีส ถือเป็นนักรบและนักปกครองที่กระหายเลือดเป็นอย่างมาก เมื่อใดที่เขาคุมขังนักโทษหรือศัตรูไว้ได้ เขาจะมีวิธีทรมานนักโทษให้เจ็บแสบอย่างแสนสาหัสจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายลงในที่สุด วิธีการที่กล่าวนี้ก็คือ นำร่างนักโทษหรือศัตรูไปเสียบเหล็กแหลมจนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตายในที่สุด ด้วยการกระทำเช่นนี้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจถวายสมญานามให้แก่พระองค์ว่า “วลาด นักเสียบ” ( Vlad the Impaler )
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ ทำให้เขาได้รับสมญานามทั้ง ‘ยอดนักเสียบ’ และ ‘จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง’ หรือ ‘แดร๊คคูล่า’ ตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะด้วยวิธีการฆ่าชีวิตคนนับหมื่นด้วยการทรมานอย่างบ้าคลั่งตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น แต่ในที่สุด ผลกรรมที่เจ้าชายทำไว้ก็คืนสนอง เพราะเมื่อเจ้าชายพระองค์นี้ออกไปสู้รบกับข้าศึก ก็ถูกข้าศึกสังหารชีวิตตายในสนามรบโดยตัดเอาหัวไปด้วย ดังนั้น แดร๊คคูล่าจึงรับบทเป็นทั้งผีดูดเลือด และบทผีหัวขาดไปด้วยพร้อมๆกัน
ลักษณะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
หากทุกท่านเคยเห็นท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า จากในภาพยนตร์ ก็จะเห็นทราบกันดีว่าท่านเคาท์ เป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่มีอายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจะเถิกนิดๆ แต่ดูภูมิฐาน สมวัย ท่านเคาท์มีเขี้ยวสเน่ห์สองซี่ด้านบน บางตำรากล่าวไว้ว่า ตอนที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าไม่ได้ดูดเลือดคน เขี้ยวที่มีก็จะหดอยู่ แต่เมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้งาน เขี้ยวก็จะปรากฎออกมาเอง เมื่อเวลาที่แสยะยิ้มแยกเขี้ยว จึงทำให้ดูสยดสยองพิกล และท่านมักจะแต่งกายด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่มีหางยาวรุ่มร่ามเสมอ อีกทั้งจะมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่ง ซึ่งการแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้ทำให้มองดูคล้ายกับเป็นมนุษย์ค้างคาว แต่ด้วยความหล่อลากใจสาวๆ ทำให้เมื่อสาวคนได้ได้เกิดสบตาท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นอันต้องหลงในเสน่ห์ และยอมให้ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าดูดเลือดแต่โดยดี
สถานที่พักพิงของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
ขึ้นชื่อว่าเป็นผี ไม่ว่าชาติไหนก็ย่อมต้องกลัวแสงแดดเช่นเดียวกัน ดังนั้นช่วงเวลากลางวัน จึงเป็นเวลาที่ท่านเคาท์จะต้องนอนพักผ่อนอยู่ในโลงศพอันหรูหรา ที่แอบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของปราสาทใหญ่ ซึ่งนอกจากห้องใต้ดินนี้จะเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์แล้ว ก็ยังมีโลงศพของบรรดาผีดูดเลือดอื่นๆ ที่เป็นสมุนบริวารของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าอยู่อีกหลายใบ และเมื่อพอตกกลางคืน ทั้งหมดก็จะพร้อมใจลุกออกจากโลงและออกแยกย้ายหากิน
วิธีออกหาอาหาร
อาหารของท่านเคาท์ ก็คือ เลือด โดยเฉพาะถ้าเป็นเลือดของบรรดาเหยื่อสาวสวยพรหมจรรย์ด้วยแล้วละก็ จะยิ่งหวานอร่อยมากกว่าเลือดของใครคนไหน ท่านเคาท์จะออกหาเหยื่อโดยการแปลงร่างเป็นค้างคาว ก่อนบินออกไปล่าเหยื่อ พอใกล้รุ่งสางก็จะรีบบินกลับมายังปราสาทเพื่อกลับมานอนในโลงดังเดิม
อิทธิฤทธิ์ของผีดูดเลือด
หากใครที่ตกเป็นเหยื่อของท่านเคาท์หรือผีดูดเลือดตัวอื่นๆไปแล้ว ก็จะต้อวสืบเชื้อสายและกลายเป็นผีดูดเลือดตามไปด้วย ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นผู้ที่มีพละกำลังมาก ต่อให้เหยื่อมีแรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต่อกรกับท่านเคาท์ได้เลย บางตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ แม้ว่าศัตรูจะหลบหนีไปอยู่ในที่ที่มิดชิดแค่ไหนก็ตาม ท่านเคาท์ก็สามารถตามเข้าไปจัดการได้ทุกที่
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด
สิ่งที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าและผีดูดเลือดทั้งหลายกลัว ก็คือ แสงพระอาทิตย์ ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม และน้ำ
1. แสงพระอาทิตย์ ไม่ถูกกับผีทุกเชื้อชาติ รวมไปถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าด้วย ดังนั้น ในช่วงกลางวันจึงเป็นเวลาที่ปลอดภัยจากผีมากที่สุดนั่นเอง
2. ไม้กางเขน ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา และถูกใช้เป็นเครื่องหมายของพระเจ้า ทำให้ผีฝรั่งหลายจำพวกรวมถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่ารู้สึกเกรงกลัวเมื่อเห็น ชาวยุโรปจึงเชื่อกันว่า ไม้กางเขนเป็นเครื่องมือที่สามารถป้องกันผีได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม หากเป็นไม้กางเขนหัวกลับ จะถูกใช้เป็นเครื่องหมายของซาตานแทน
3. กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงและมีรสชาติเผ็ดร้อน การต้องทนรับประทานกระเทียมสดๆคงยากที่มนุษย์จะสามารถทานทนได้ ซึ่งท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าก็รู้สึกในแบบเดียวกันนี้เช่นกัน
4. เหล็กแหลม ถือว่าเป็นอาวุธของบุคคลที่จะโค่นล้มท่านเคาท์ลงได้ วิธีการสังหารทำโดยการรอเวลาให้เช้าก่อน จากนั้นจึงไปตามหาร่างของท่านเคาท์ตามโลงศพต่างๆที่ซ่อนอยู่ห้องใต้ดิน แล้วนำเอาเหล็กแหลมจิ้มหรือตอกลงไปที่อกของผีร้าย เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านเคาท์และบรรดาผีดูดเลือดทั้งหลายหมดสิ้นฤทธิ์เดชไปได้ในทันที
5. น้ำ เชื่อกันว่าท่านเคาท์อาจจะกลัวน้ำหรือกลัวการอาบน้ำ แต่ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่นอน
>>> ที่มา <<<
แดร๊คคูล่า (Dracula) ในภาษาโรมาเนีย มีความหมายว่า “ปีศาจ” ซึ่งเดิมทีท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นวัลลาเซีย ที่อยู่ในประเทศโรมาเนีย ทวีปยุโรป
ต้นกำเนิดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า ไม่ใช่ซาตานหรือปีศาจตามแบบผีชนิดอื่นๆ แต่กลับเป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษมีชื่อว่า “แบรม สโตเกอร์” เขาผู้นี้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝัน ซึ่วเกิดขึ้นมาในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวในปีค.ศ. 1897 และนิยายเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีภาคต่อออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของคอนิยายแนวสยองขวัญนั่นเอง นิยายเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก และถูกแปลเป็นภาษานานาชาติจนแทบนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หรือละครมากมาย ผลงานของนักเขียนผู้นี้จึงเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู พร้อมกวาดเงินจำนวนมากมายมหาศาลออกจากกระเป๋าของผู้เสพติดทั่วโลกด้วยความเต็มใจ
หลายท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า แล้วเหตุใดท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจึงไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้ ซึ่งความจริงก็คือ … ถึงแม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะประพันธ์เรื่องราวทั้งหมดนี้จากความฝันของเขา แต่เขาก็พยายามสืบค้นประวัติศาสตร์ของโรมาเนียที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้นวัลลาเซีย ซึ่งเป็นผู้ที่มีนิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม และทารุณ เข้ามาเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาด้วย
ตำนานเล่าว่า เจ้าชาย วลาด ทีปีส ถือเป็นนักรบและนักปกครองที่กระหายเลือดเป็นอย่างมาก เมื่อใดที่เขาคุมขังนักโทษหรือศัตรูไว้ได้ เขาจะมีวิธีทรมานนักโทษให้เจ็บแสบอย่างแสนสาหัสจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายลงในที่สุด วิธีการที่กล่าวนี้ก็คือ นำร่างนักโทษหรือศัตรูไปเสียบเหล็กแหลมจนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตายในที่สุด ด้วยการกระทำเช่นนี้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจถวายสมญานามให้แก่พระองค์ว่า “วลาด นักเสียบ” ( Vlad the Impaler )
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ ทำให้เขาได้รับสมญานามทั้ง ‘ยอดนักเสียบ’ และ ‘จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง’ หรือ ‘แดร๊คคูล่า’ ตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะด้วยวิธีการฆ่าชีวิตคนนับหมื่นด้วยการทรมานอย่างบ้าคลั่งตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น แต่ในที่สุด ผลกรรมที่เจ้าชายทำไว้ก็คืนสนอง เพราะเมื่อเจ้าชายพระองค์นี้ออกไปสู้รบกับข้าศึก ก็ถูกข้าศึกสังหารชีวิตตายในสนามรบโดยตัดเอาหัวไปด้วย ดังนั้น แดร๊คคูล่าจึงรับบทเป็นทั้งผีดูดเลือด และบทผีหัวขาดไปด้วยพร้อมๆกัน
ลักษณะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
หากทุกท่านเคยเห็นท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า จากในภาพยนตร์ ก็จะเห็นทราบกันดีว่าท่านเคาท์ เป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่มีอายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าจะเถิกนิดๆ แต่ดูภูมิฐาน สมวัย ท่านเคาท์มีเขี้ยวสเน่ห์สองซี่ด้านบน บางตำรากล่าวไว้ว่า ตอนที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าไม่ได้ดูดเลือดคน เขี้ยวที่มีก็จะหดอยู่ แต่เมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้งาน เขี้ยวก็จะปรากฎออกมาเอง เมื่อเวลาที่แสยะยิ้มแยกเขี้ยว จึงทำให้ดูสยดสยองพิกล และท่านมักจะแต่งกายด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่มีหางยาวรุ่มร่ามเสมอ อีกทั้งจะมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่ง ซึ่งการแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้ทำให้มองดูคล้ายกับเป็นมนุษย์ค้างคาว แต่ด้วยความหล่อลากใจสาวๆ ทำให้เมื่อสาวคนได้ได้เกิดสบตาท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นอันต้องหลงในเสน่ห์ และยอมให้ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าดูดเลือดแต่โดยดี
สถานที่พักพิงของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
ขึ้นชื่อว่าเป็นผี ไม่ว่าชาติไหนก็ย่อมต้องกลัวแสงแดดเช่นเดียวกัน ดังนั้นช่วงเวลากลางวัน จึงเป็นเวลาที่ท่านเคาท์จะต้องนอนพักผ่อนอยู่ในโลงศพอันหรูหรา ที่แอบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของปราสาทใหญ่ ซึ่งนอกจากห้องใต้ดินนี้จะเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์แล้ว ก็ยังมีโลงศพของบรรดาผีดูดเลือดอื่นๆ ที่เป็นสมุนบริวารของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าอยู่อีกหลายใบ และเมื่อพอตกกลางคืน ทั้งหมดก็จะพร้อมใจลุกออกจากโลงและออกแยกย้ายหากิน
วิธีออกหาอาหาร
อาหารของท่านเคาท์ ก็คือ เลือด โดยเฉพาะถ้าเป็นเลือดของบรรดาเหยื่อสาวสวยพรหมจรรย์ด้วยแล้วละก็ จะยิ่งหวานอร่อยมากกว่าเลือดของใครคนไหน ท่านเคาท์จะออกหาเหยื่อโดยการแปลงร่างเป็นค้างคาว ก่อนบินออกไปล่าเหยื่อ พอใกล้รุ่งสางก็จะรีบบินกลับมายังปราสาทเพื่อกลับมานอนในโลงดังเดิม
อิทธิฤทธิ์ของผีดูดเลือด
หากใครที่ตกเป็นเหยื่อของท่านเคาท์หรือผีดูดเลือดตัวอื่นๆไปแล้ว ก็จะต้อวสืบเชื้อสายและกลายเป็นผีดูดเลือดตามไปด้วย ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นผู้ที่มีพละกำลังมาก ต่อให้เหยื่อมีแรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต่อกรกับท่านเคาท์ได้เลย บางตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ แม้ว่าศัตรูจะหลบหนีไปอยู่ในที่ที่มิดชิดแค่ไหนก็ตาม ท่านเคาท์ก็สามารถตามเข้าไปจัดการได้ทุกที่
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด
สิ่งที่ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าและผีดูดเลือดทั้งหลายกลัว ก็คือ แสงพระอาทิตย์ ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม และน้ำ
1. แสงพระอาทิตย์ ไม่ถูกกับผีทุกเชื้อชาติ รวมไปถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าด้วย ดังนั้น ในช่วงกลางวันจึงเป็นเวลาที่ปลอดภัยจากผีมากที่สุดนั่นเอง
2. ไม้กางเขน ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา และถูกใช้เป็นเครื่องหมายของพระเจ้า ทำให้ผีฝรั่งหลายจำพวกรวมถึงท่านเคาท์ แดร๊คคูล่ารู้สึกเกรงกลัวเมื่อเห็น ชาวยุโรปจึงเชื่อกันว่า ไม้กางเขนเป็นเครื่องมือที่สามารถป้องกันผีได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม หากเป็นไม้กางเขนหัวกลับ จะถูกใช้เป็นเครื่องหมายของซาตานแทน
3. กระเทียม เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงและมีรสชาติเผ็ดร้อน การต้องทนรับประทานกระเทียมสดๆคงยากที่มนุษย์จะสามารถทานทนได้ ซึ่งท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าก็รู้สึกในแบบเดียวกันนี้เช่นกัน
4. เหล็กแหลม ถือว่าเป็นอาวุธของบุคคลที่จะโค่นล้มท่านเคาท์ลงได้ วิธีการสังหารทำโดยการรอเวลาให้เช้าก่อน จากนั้นจึงไปตามหาร่างของท่านเคาท์ตามโลงศพต่างๆที่ซ่อนอยู่ห้องใต้ดิน แล้วนำเอาเหล็กแหลมจิ้มหรือตอกลงไปที่อกของผีร้าย เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านเคาท์และบรรดาผีดูดเลือดทั้งหลายหมดสิ้นฤทธิ์เดชไปได้ในทันที
5. น้ำ เชื่อกันว่าท่านเคาท์อาจจะกลัวน้ำหรือกลัวการอาบน้ำ แต่ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่นอน
>>> ที่มา <<<
กัปปะ (Kappa)
กัปปะ (Kappa) เป็นผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่อยู่ในจำพวกพรายน้ำ กัปปะจะมีลักษณะ รูปร่างหน้าตาคล้ายกบ แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง จมูกแหลม ศีรษะแบน ไม่มีผมที่กลางกระหม่อม มีตัวสีเขียว ส่วนเท้าหน้าและเท้าหลังเป็นพังผืด
กัปปะเป็นปีศาจที่มีที่อยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำ และมีอาหารโปรดเป็น แตงกวา กัปปะชอบเล่นซูโม่เพราะคิดว่าตนเองมีพละเยอะ ส่วนลักษณะพิเศษของกัปปะ ก็คือ จะมีจานอยู่บนหัวซึ่งทีเอาไว้สำหรับเก็บน้ำ ซึ่งน้ำเหล่านี้เองที่ช่วยให้กัปปะมีพลังอำนาจพิเศษ และช่วยให้มีกำลังมากขึ้น แต่เมื่อใดที่กัปปะสูญเสียน้ำบนศีรษะไป ก็จะทำให้มันอ่อนแรงลง จนถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้เลย
แม้ว่ากัปปะจะดูมีรูปร่างเล็กเหมือนเด็ก แต่กลับเป็นผีที่เอาชนะได้ยากมาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นปีศาจที่มีการผสมผสานของสัตว์หลายชนิด ตั้งแต่ มีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่นสีเขียว น้ำเงิน หรือแดงเหมือนปลา มือเป็นผังผืดเหมือนกบ หลังมีกระดองเหมือนเต่า อีกทั้งมีขนดกทั่วตัว มีแขนขายาวและยืดหยุ่นได้ หากเมื่อใดที่กัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ทันที ทำให้ต้องใส่น้ำบนศีรษะเอาไว้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงมีทริคในการต่อสู่กับกัปปะง่ายๆ ก็คือ เมื่อพบเจอตัวกัปปะให้ก้มหัวคาราวะ ซึ่งกัปปะจะก้มหัวตอบ ซึ่งจะทำให้น้ำบนศีรษะหก และหมดฤทธิ์ในที่สุด หรืออีกวิธีก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเองลงไปในแตงกวา จากนั้นขว้างทิ้งลงแม่น้ำ เมื่อกัปปะมาเจอกับแตงกวาเข้า ก็จะเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย และจะสามารถจดจำชื่อที่อยู่บนแตงกวาได้ด้วย เมื่อคราวหน้าคราวหลังที่กัปปะบังเอิญมาเจอกับเจ้าของแตงกวา มันก็จะไม่ทำอะไรคนผู้นั้นอีก ปัจจุบันมีซูชิที่มีไส้เป็นแตงกวา ที่ถูกขนานนามว่า “กัปปะ มากิ”
กัปปะมักจะท้ามนุษย์แข่งซูโม่ เพราะมั่นใจในพละกำลังของตัวเองเป็นอย่างมาก จึงเกิดมีเรื่องเล่าขึ้นว่า คนฉลาดที่ท้าประลองซูโม่กับกัปปะ จะหลอกก้มหัวทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลองเสียก่อน เมื่อน้ำบนหัวกัปปะกระฉอกออกจากจาน ก็จะทำให้กัปปะจะอ่อนกำลังลง และพ่ายแพ้อย่างง่ายได้ ซึ่งจะมีผลให้กัปปะเสียใจเป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งนิสัยของกัปปะ คือ การชอบกินแตงกวา ทำให้ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาในประเทศญี่ปุ่น เกิดมีขนบธรรมเนียมในการลอยแตงกวาลงแม่น้ำขึ้น ทั้งนี้ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำบุญทำทานให้ผีที่อดโซนั่นเอง บวกกับกัปปะเป็นปีศาจที่มีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดเป็นเรื่องเล่าที่ว่า หากมีชายคนใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่นได้
กัปปะเป็นปีศาจที่อันตรายไม่แพ้ผีร้ายชนอดอื่นๆเลย และมักจะมีเรื่องเล่าอยู่เสมอว่า กัปปะจะล่อลวงให้คนหรือสัตว์ลงไปในน้ำจนจมน้ำตายในที่สุด หากกัปปะถูกชาวประมงจับได้ มันจะป้องกันตัวโดยการปล่อยตดออกมา ซึ่งกลิ่นตดของมันเหม็นบรรลัยเป็นอย่างมาก
กัปปะมีพฤติกรรมพิเลนที่ชอบแกล้งคน มีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่ตามห้องน้ำ เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งใช้นิ้วสวนทวาร อย่างไรก็ตาม บางเวลากัปปะก็มีความอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะถือเป็นพรายที่มีความความรู้สึกสำนึกเมื่อทำผิด และมันจะขอโทษโดยการออกไปจับปลามาให้ทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาเองจากความเชี่ยวชาญ
ความเชื่อเรื่องกัปปะ แพร่กระจายไปทั่วทั้งญี่ปุ่น บางตำนานเล่าว่า มีช่างไม้คนหนึ่งที่มีนามว่า ฮิดาริจินโกโร่ ทำตุ๊กตาไม้ที่เขาทำขึ้นตกลงน้ำไป ซึ่งทำให้ตุ๊กตากลายร่างมาเป็นกัปปะ แต่บางตำนานก็เล่าว่า เดิมทีกัปปะเป็นเทพที่ทำหน้าที่ดูแลแม่น้ำ แต่พอมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้กัปปะกลายเป็นเพียงภูติผีธรรมดาไปแทน
ปัจจุบัน มีการนำเรื่องราวของกัปปะมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนหลายเรื่อง เช่น ตัวละครซูเนโอะในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นต้น โดยมากแล้ว กัปปะที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มักจะไม่ค่อยมีภาพของความอันตราย สักเท่าไรนัก ซึ่งคาดเคลื่อนไปจากความเชื่อดั้งเดิมอยู่ไม่น้อย
>>> ที่มา <<<
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)